อาการเจ็บหน้าแข้งกับการวิ่งมาราธอน (Shin Splint Syndrome) เป็นโรคที่พบได้ในกลุ่มนักวิ่ง ซึ่งสามารถแบ่งสาเหตุการเกิดอาการได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
- จากอุบัติเหตุหรือสิ่งกระทบจากภายนอก เช่น แผลฟกช้ำ กล้ามเนื้อฉีก หรือกระดูกหัก ผู้บาดเจ็บมักจำเหตุการณ์ได้ชัดเจน รู้สาเหตุของการเกิดอาการ ทำให้การรักษาไม่ซับซ้อน เพราะสามารถรักษาตามสาเหตุและอาการเป็นหลัก หากรักษาอย่างถูกต้องก็สามารถหายเป็นปกติได้
- จากการใช้งานหรือการฝึกที่หักโหมและเร่งรัดจนเกินไป จากโครงสร้างร่างกายผิดปกติ จากการใช้อุปกรณ์การวิ่งที่ไม่เหมาะสม ในกลุ่มนี้มักมีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เนื่องจากผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ส่วนใหญ่มักมีอาการเจ็บหลังจากใช้งานไปสักระยะหนึ่งแล้ว เมื่อพักแล้วอาการจะดีขึ้น แต่พอกลับมาวิ่งก็กลับมาเจ็บอีก ทำให้ไม่สามารถวิ่งได้อย่างเต็มที่ ซึ่งมีอาการที่พบได้บ่อยและน่าสนใจ ได้แก่
- Shin Splint Syndrome เจ็บหน้าแข้งจากการวิ่ง คือ อาการเจ็บหน้าแข้งจากการวิ่ง อาการเจ็บจะเกิดที่สันหน้าแข้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณหน้าแข้งด้านใน ส่วนใหญ่จะพบบริเวณตอนล่างของกระดูกหน้าแข้ง ซึ่งบริเวณนี้เป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อ Soleus และ Tibialis Posterior ซึ่งควบคุมการบิดข้อเท้าเข้าใน (Inversion) และจิกปลายเท้าลง (Plantar Flexion)
- สาเหตุเจ็บหน้าแข้งจากการวิ่ง สาเหตุของอาการเกิดจากการฝึกที่หักโหมและเร่งรัด ทำให้เกิดการใช้งานที่มากเกินไปจนร่างกายทนไม่ได้ คือ เมื่อเกิดการกระแทกหรือใช้งานกล้ามเนื้อดังกล่าวซ้ำ ๆ ทำให้เกิดการบาดเจ็บของเยื่อหุ้มกระดูก ซึ่งเป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น มักพบใน
- คนที่เพิ่งเริ่มวิ่งใหม่ ๆ
- คนที่เร่งการซ้อมมากเกินไป
- การวิ่งบนพื้นแข็งหรือใส่รองเท้าที่พื้นรองรับเท้าแข็ง
- คนที่ชอบวิ่งเขย่งปลายเท้า หรือยกส้นเท้าให้ลอยตลอดเวลา
- คนที่มีโครงสร้างร่างกายผิดปกติ เช่น เท้าแบน (Flat Foot) เท้าคว่ำบิดออกนอก (Excessive or Over of Pronation)
- อาการเจ็บหน้าแข้งจากการวิ่ง อาการเจ็บปวดตามแนวสันหน้าแข้งด้านใน จะเพิ่มความรุนแรงขึ้นแบบเป็นค่อยเป็นค่อยไป อาจเกิดขึ้นขณะวิ่งหรือหลังจากหยุดพักแล้วก็ได้ เมื่อกดจะมีอาการเจ็บเป็นบริเวณกว้างตามแนวของกระดูกหน้าแข้ง แต่ไม่มีอาการชา เมื่อมีอาการควรหยุดพักรักษา ไม่ควรฝืนวิ่ง หรือฝึกแบบเดิมอีกต่อไป เพราะอาจทำให้เกิดภาวะบาดเจ็บที่รุนแรงกว่า เช่น กระดูกร้าว ตามมาได้
- การรักษาเจ็บหน้าแข้งจากการวิ่ง การรักษาเบื้องต้น คือ
- การพัก
- การประคบเย็น
- การใช้ยาต้านการอักเสบชนิดกิน
- การทำกายภาพบำบัดเพื่อลดการอักเสบ
หากโครงสร้างเท้าหรือขาผิดปกติควรเลือกเปลี่ยนรองเท้าเป็นแบบที่เหมาะสมกับโครงสร้างเท้าของตนเอง หรืออาจใช้อุปกรณ์เสริมที่ช่วยลดแรงกระแทกขณะวิ่งร่วมด้วย เมื่ออาการเจ็บหายแล้ว ควรหันมาบริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรงและยืดหยุ่น โดยเริ่มฝึกด้วยการออกกำลังกายที่ไม่มีการกระแทก เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน Elliptical Machine หรือวิ่งในสระน้ำก่อน หากไม่เกิดอาการเจ็บ แล้วจึงค่อยใส่โปรแกรมการวิ่งเข้าไป โดยค่อย ๆ เพิ่มระยะทางและความเร็วทีละน้อย แนะนำให้ลองวิ่งบนพื้นนุ่ม ๆ เช่น สนามหญ้า พื้นยาง หรือ Treadmill ก่อน หากไม่มีอาการเจ็บ จึงค่อยกลับไปวิ่งบนพื้นที่เราคุ้นเคย
การตัดสินใจว่าจะสามารถกลับไปวิ่งระยะไกลได้เมื่อใดนั้นต้องดูจากอาการ หากอาการเจ็บยังคงเรื้อรัง พักแล้วไม่ดีขึ้น หรือมีอาการเจ็บมากขึ้นถึงขั้นลงน้ำหนักไม่ได้ อาจเป็นเพราะอาการของกระดูกร้าวแบบสะสม (Stress Fracture) ซึ่งควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจรักษาขั้นต่อไป
นอกจากนี้หากวิ่งแล้วมีอาการชาที่ขาหรือเท้า เมื่อขยับนิ้วเท้าแล้วปวดขาอย่างรุนแรง อาจเป็นอาการของเส้นประสาทขาถูกกดทับ เนื่องจากความดันในช่องกล้ามเนื้อสูงผิดปกติ หากมีอาการเหล่านี้ต้องรีบพบแพทย์ทันที หากปล่อยไว้จนกล้ามเนื้อและเส้นประสาทขาดเลือด อาจต้องสูญเสียอวัยวะ และไม่สามารถวิ่งได้อีกต่อไป