โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ จากสถิติพบโรคซึมเศร้าประมาณ 20% ของประชากรทั่วไป หากรีบรักษาย่อมเพิ่มโอกาสหาย แต่หากปล่อยไว้อาจกระทบกับการใช้ชีวิตจนอยากทำร้ายตัวเองได้ จึงควรเข้าใจโรคซึมเศร้าและรับมืออย่างถูกต้อง
Q : โรคซึมเศร้าคืออะไร
A : โรคซึมเศร้าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสมอง โดยมีสาเหตุหนึ่งมาจากการเผชิญกับความเครียดเป็นระยะเวลานาน
ส่งผลให้สมองสูญเสียความสมดุล หรือในบางคนเกิดจากภาวะทางพันธุกรรมบางอย่างที่ถ่ายทอดส่งต่อกันมา
Q : อาการโรคซึมเศร้าเป็นอย่างไร
A : อาการของโรคซึมเศร้าจะเศร้าจนไม่อยากทำอะไร จากเดิมที่เป็นคนแอ็กทีฟกระฉับกระเฉงจะกลายเป็นไม่มีแรง ไม่
อยากทำอะไร ที่สำคัญกระทบกับการนอน การกิน และบางคนเกิดความคิดอยากทำร้ายตัวเองได้
Q : สังเกตอาการซึมเศร้าของตนเองได้อย่างไร
A : วิธีสังเกตอาการซึมเศร้าของตนเองได้ง่าย ๆ คือ ระดับพลังงานชีวิตลดลง ไม่อยากทำอะไร นอนไม่หลับ หยุดคิดเรื่อง
ต่าง ๆ ไม่ได้, ไม่มีสมาธิ, รู้สึกไม่ดีกับตนเอง, เบื่ออาหารหรืออยากอาหารมากเกินไป, เริ่มมีความคิดอยากทำร้าย
ตนเอง ฯลฯ
Q : สังเกตอาการคนใกล้ชิดว่าเป็นซึมเศร้าได้อย่างไร
A : วิธีสังเกตอาการคนใกล้ชิดที่เป็นซึมเศร้าให้ดูพฤติกรรมในภาพรวมว่าเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน เช่น จากเดิม
เป็นคนสนุกสนานร่าเริงเปลี่ยนเป็นคนเงียบ เก็บตัว ไม่ชอบพูดคุย ไม่อยากทำอะไร เป็นต้น แนะนำให้พูดคุยซักถามว่า
ช่วงนี้เป็นอย่างไร ทำไมช่วงนี้เงียบ ๆ ไป เป็นต้น
Q : ในแต่ละช่วงวัยอาการซึมเศร้ามีความแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร
A : เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากว่าในแต่ละช่วงวัยของมนุษย์ อาการแสดงของโรคซึมเศร้าอาจแตกต่างกันออกไป ได้แก่
□ วัยรุ่น มีฮอร์โมนพลุ่งพล่าน อาการแสดงของโรคซึมเศร้าอาจจะเป็นอาการใจร้อนขึ้น รู้สึกอารมณ์เสียตลอดเวลา
□ คนวัยทำงาน มีพฤติกรรมลักษณะอาการแสดงของโรคซึมเศร้าที่เกี่ยวกับงานมากขึ้น เช่น เครียดในงาน หรือมี
ปัญหาความสัมพันธ์ ฯลฯ
□ ผู้สูงวัย ส่วนใหญ่อาการแสดงของโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุมักมีความเกี่ยวข้องกับความเสื่อมของสมอง
บางครั้งแสดงออกในลักษณะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล โดยมากจะเกี่ยวข้องกับสุขภาพร่างกาย เจ็บตรงนั้น ปวดตรงนี้
ไปหาหมอหลายที่ บางครั้งเป็นอาการแสดงโรคซึมเศร้าในผู้สูงวัย
□ ผู้หญิงหลังคลอด บางครั้งเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน จากเดิมที่ทารกในครรภ์มีฮอร์โมนแบบหนึ่ง หลัง
คลอดจะมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนแบบวูบลงมาอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้เกิด
อาการซึมเศร้าหลังคลอดได้ เช่น คุณแม่ซึมลง คุณแม่ร้องไห้ง่าย ฯลฯ
Q : แนวทางการรักษาโรคซึมเศร้าเป็นอย่างไร
A : ปัจจุบันมีหลายแนวทางในการรักษาโรคซึมเศร้า ได้แก่
1) การใช้ยา ปัจจุบันยาที่ใช้ในการรักษาโรคซึมเศร้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลข้างเคียงน้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีต
2) การทำจิตบำบัดหรือการพูดคุย มีหลากหลายเครื่องมือและหลากหลายวิธีการในการทำจิตบำบัด ซึ่งผู้ป่วยแต่ละ
คนมีลักษณะความต้องการในการรักษาที่แตกต่างกันออกไป
Q : เทคโนโลยีการรักษาโรคซึมเศร้าในปัจจุบันเป็นอย่างไร
A : การรักษาโรคซึมเศร้าด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นวิธีการรักษาที่มีใช้มานานและมีประสิทธิภาพสูง ปัจจุบันมีหลาย
รูปแบบ แนะนำให้ปรึกษาจิตแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
Q : ซึมเศร้ากับไบโพลาร์ต่างกันหรือไม่อย่างไร
A : ซึมเศร้ากับไบโพลาร์เป็นคนละโรคกัน โรคไบโพลาร์คือโรคอารมณ์สองขั้ว ระหว่างขั้วซึมเศร้าและขั้วมีความสุข แอ็กทีฟ
และไฮเปอร์สุด ๆ ซึ่งจะสลับไปมาระหว่างสองขั้วนี้ แต่โรคซึมเศร้าจะไม่มีการสลับขั้วของอารมณ์จะมีแต่ขั้วของ
ซึมเศร้า
Q : ป้องกันโรคซึมเศร้าได้อย่างไร
A : พยายามบาลานซ์ชีวิตให้ดี เพราะชีวิตมีหลายด้านทั้งเรื่องงาน ครอบครัว งานอดิเรก สิ่งที่สนใจ สิ่งที่อยากทำ เรา
จำเป็นจะต้องทำทุกอย่างให้รอบด้านเพื่อให้ชีวิตมีความสมดุลมากที่สุดและช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคซึมเศร้า
Q : ปรึกษาจิตแพทย์ดีอย่างไร
A : ไม่อยากให้ทุกคนกลัวการเข้ามาคุยกับจิตแพทย์ เพราะการเข้ามาคุยกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเป็นการพูดคุยกับ
คนที่สามารถคุยได้ทุกเรื่องและช่วยกันแก้ปัญหาได้ ถ้าวันหนึ่งที่รู้สึกเครียด จัดการอารมณ์และชีวิตไม่ได้ แนะนำให้
ปรึกษาจิตแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางเพื่อหาทางออกที่ถูกต้อง
ศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมดูแลรักษาสุขภาพจิตให้คนทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน วัยสูงอายุ ด้วยเครื่องมือ วิธีการ และเทคโนโลยีการรักษาที่หลากหลาย อย่ารอจนเป็นโรคซึมเศร้า เพราะสุขภาพดี เริ่มต้นที่สุขภาพใจ