สืบเนื่องจากภาพข่าวในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับ “รอยด่างดำ” ที่พระหัตถ์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งปรากฏอยู่ในพระฉายาลักษณ์ที่ทรงฉายร่วมกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ (ลิส ทรัสส์) เมื่อวันอังคารที่ 6 กันยายน 2565 และมีการลงข้อความเกี่ยวกับความเห็นของ ดร.เด็บ โคเฮน–โจนส์ แพทย์หญิงในเมืองเพิร์ท รัฐออสเตรเลียตะวันตกว่าเป็นสัญญาณเตือน “ควีน” ใกล้สวรรคตนั้น
นาวาอากาศเอก (พิเศษ) นายแพทย์ไพศาล จันทรพิทักษ์ ที่ปรึกษาผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ ประธานคณะกรรมการฝ่ายแพทย์ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้ดำเนินรายการวิทยุ “Health Road” หรือ “เส้นทางสุขภาวะ” ขอเรียนชี้แจงและให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่ถูกต้องเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนคนไทยให้ได้รับทราบในกรณีรอยเขียวคล้ำค่อนข้างดำบริเวณผิวหนังด้านหลังพระหัตถ์ด้านขวาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดนั้น ลักษณะรอยเขียวคล้ำค่อนข้างดำบริเวณผิวหนังด้านหลังมือในคนทั่ว ๆ ไป แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลสามารถพบเห็นได้ค่อนข้างบ่อยในผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องให้สารน้ำ (น้ำเกลือ) หรือฉีดยา และแม้แต่การเจาะเลือดเพื่อเอาเลือดไปตรวจที่บริเวณหลอดเลือดดำที่ด้านหลังของมือ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่หลอดเลือดอาจเปราะบาง การใช้เข็มเจาะเข้าไปภายในหลอดเลือดเพื่อดูดเลือดออกมาเพื่อเอาไปตรวจ หรือต้องคาส่วนปลายเข็มไว้ในหลอดเลือดพื่อฉีดยา หรือให้น้ำเกลือเป็นเวลานาน ๆ ก็ตาม ในบางครั้งอาจเกิดขึ้นได้ใน 3 กรณี ได้แก่
- มีการซึมของเลือดในหลอดเลือดออกมาสู่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังขณะที่คาเข็มไว้หรือภายหลังชักเข็มออกมาแล้ว แต่ไม่ได้ใช้สำลีกดผิวหนังบริเวณนั้นให้นานพอ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาทั่ว ๆ ไปที่ไม่เคยมีประวัติเลือดหยุดยากหรือในผู้สูงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่รับประทานยาต้านการเกาะกลุ่มของเลือด ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เวลาชักเข็มออกแล้ว เลือดจะหยุดยากกว่าคนทั่ว ๆ ไปจึงต้องกดด้วยสำลีสะอาดเอาไว้เป็นเวลานานพอ ทำให้เลือดไหลออกมาบริเวณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
- เข็มที่อยู่ในหลอดเลือดอาจเคลื่อนออกมาภายนอกหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลออกมาบริเวณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเป็นจำนวนมาก
- ในระหว่างการให้น้ำเกลือ ผู้ป่วยอาจมีการเคลื่อนไหวที่ข้อมือ หรืออาจมีแรงดึง ทำให้ส่วนต่อระหว่างเข็มกับสายน้ำเกลือหลุดออกจากกัน ทำให้มีเลือดสด ๆ ไหลออกมาตามรูเข็มที่ยังคาอยู่ในหลอดเลือด บางครั้งเลือดสด ๆ ไหลออกมาเป็นจำนวนมาก ๆ ได้ หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว เช่น เกิดเหตุการณ์นี้ยามค่ำคืนภายในห้องผู้ป่วย ซึ่งในกรณีนี้เลือดอาจจะไม่ได้ไหลออกมาบริเวณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
หลังจากเลือดไหลออกมาบริเวณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เลือดที่ออกมารอบ ๆ หลอดเลือด และมาอยู่ในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังบริเวณหลังมือ ซึ่งไม่ได้อยู่ลึก ๆ ไปจากผิวหนังมากนัก ในวันแรก ๆ อาจเห็นเป็นสีม่วงแดง ๆ ที่เรียกว่า “ห้อเลือด” แต่เมื่อผ่านไปในเลือดที่ออกมามีเม็ดเลือดแดงที่แตกตัวและมีสารฮีโมโกลบิน (มีส่วนผสมของเหล็กอยู่ด้วย) กระจายออกไปพร้อม ๆ กับที่เลือดกระจายออกไปใต้ผิวหลัง ซึ่งต่อมาจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็น “สีม่วงคล้ำค่อนข้างดำ” ขอยกตัวอย่างนักมวยหรือคนธรรมดาที่ถูกชกบริเวณคิ้วหรือเบ้าตา อาจทำให้เกิดอาการบวมรอบ ๆ ตา จนบางครั้งบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีค่อนข้างดำ ซึ่งก็เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน
สิ่งที่ควรทำ คือ การใช้สำลีสะอาดกดให้นานพอ ภายหลังจากที่มีการเจาะหรือแทงด้วยเข็มเข้าไปในหลอดเลือด โดยรอยเขียวคล้ำค่อนข้างดำบริเวณผิวหนังจะหายไปได้ด้วยการเร่งให้มีการดูดซึมสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นกลับเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นการเอามือไปแช่ในน้ำอุ่น ๆ เพื่อให้มีการขยายตัวของหลอดเลือดแดง เพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้มายังบริเวณนั้น ๆ ให้มากขึ้น จะมีการดูดซึมเอาสิ่งที่ทำให้เกิดสีเขียวคล้ำออกไปได้เร็วขึ้น ในบางกรณีแพทย์อาจสั่งยาทา ยานวด เพื่อเร่งการดูดซึมกลับเข้าร่างกาย แต่โดยปกติแล้วหากไม่ได้มีพื้นที่เขียวม่วงคล้ำมาก ๆ อาการดังกล่าวจะหายไปเอง หรือเพียงแช่น้ำอุ่นก็เพียงพอ
ในกรณีที่มีการกล่าวว่า “รอยเขียวคล้ำค่อนข้างดำบริเวณผิวหนัง” เป็นสัญญาณเตือนว่าผู้มีร่องรอยดังกล่าวใกล้เสียชีวิต ขออนุญาตให้ความเห็นในกรณีทั่ว ๆ ไปก่อนว่าลักษณะรอยเขียวคล้ำค่อนข้างดำบริเวณผิวหนังสามารถพบเห็นได้อยู่เป็นปกติ เป็นประจำ เป็นจำนวนมากในผู้ป่วยที่มารับบริการที่โรงพยาบาล และมีการใช้เข็มเจาะเข้าไปในหลอดเลือดดำ โดยเฉพาะผู้สูงวัย ดังนั้นตามข่าวและภาพข่าวของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ที่เสด็จฯ ออกมาต้อนรับนายกรัฐมนตรีหญิงใหม่ ทรงยืนทรงพระวรกายอย่างสง่างามและทรงแย้มพระสรวล ณ เวลาที่เสด็จฯ ออกมาในขณะนั้น ไม่น่าจะสรุปว่าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงใกล้สวรรคต จากแค่เพียงรอยด่างดำที่พระหัตถ์ของพระองค์เพียงเท่านั้น
ส่วนการที่สองวันต่อมา พระองค์ทรงเสด็จสวรรคตนั้นอาจมีสาเหตุอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งในทางการแพทย์ในผู้สูงวัยถึงประมาณ 96 ปี อาจเกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่การเสียชีวิตได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ และการที่พระองค์ทรงได้รับการถวายการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการที่ทรงได้รับการถวายการเจาะพระโลหิตหรือการที่ทรงได้รับสารน้ำหรือน้ำเกลือ จนทำให้ประชาชนทั่วไปเห็น “รอยด่างดำ” ที่พระหัตถ์ ย่อมแสดงว่าพระองค์ทรงมีการพระประชวรอยู่ในระดับหนึ่ง การไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วนที่ถูกต้องและด่วนสรุปอาจทำให้ประชาชนสับสนได้