รู้จักกับซีเซียม
ซีเซียม (Cesium : Cs-137) เป็นสารกัมมันตรังสี โดยเป็นไอโซโทปของซีเซียม ลักษณะเป็นของแข็งคล้ายผงเกลือ สามารถฟุ้งกระจายได้เมื่อแตกออกจากแคปซูลที่ห่อหุ้มไว้ มีค่าครึ่งชีวิต (Half Life) นาน โดยประมาณกว่า 30 ปี เมื่อสลายตัวจะปล่อยรังสีบีตา (Not Penetrate) ประมาณ 95% และรังสีแกมมา (Penetrate) แล้วกลายสภาพไปเป็นธาตุแบเรียม-137 (Ba-137)
การใช้ประโยชน์ซีเซียม
- ปริมาณเล็กน้อย ใช้สอบเทียบอุปกรณ์ตรวจจับรังสี เช่น เครื่อง Geiger-Muller counters
- ปริมาณมาก ใช้รักษามะเร็ง ใช้วัดอัตราการไหลของของเหลวในท่อ ใช้ในภาคอุตสาหกรรมในการวัดความหนาของวัตถุ เช่น กระดาษ ฟิล์ม เหล็ก
ความรุนแรงของซีเซียม
ความรุนแรงของรังสีที่มีต่อร่างกายขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ได้รับสัมผัส
- ปริมาณของรังสี
- ระยะเวลา
- ส่วนของร่างกาย
ซีเซียมกับผลต่อร่างกาย
ผลต่อร่างกาย |
รายละเอียด |
||
ผลระยะสั้น |
1) ผลเฉพาะที่ (Local Radiation Injury/ Cutaneous Radiation Syndrome) |
สัมผัสทางผิวหนังทำให้เกิดผื่นแดง คัน บวม มีตุ่มน้ำหรือแผลเกิดขึ้น อาจมีคนหรือผมร่วงได้ |
|
2) ผลต่อระบบอื่นในร่างกายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อได้รับปริมาณที่สูงมาก (Acute Radiation Syndrome) |
มีอาการนำ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หลังจากนั้นอาการจะหายไปชั่วคราวประมาณ 1-3 สัปดาห์ ต่อจากนั้นจะมีผลต่อ 3 ระบบหลัก ๆ ของร่างกาย |
1) ระบบโลหิต มีผลกดไขกระดูก ทำให้เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดต่ำลงได้ |
|
2) ระบบทางเดินอาหาร มีผลทำให้คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ถ่ายเป็นเลือด |
|||
3) ระบบประสาท ทำให้สับสน เดินเซ ซึมลง และชักได้โดยเฉพาะในรายที่รุนแรง |
|||
ผลระยะยาว |
เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) มะเร็งไทรอยด์ เป็นต้น |
เหตุการณ์สูญหายของซีเซียม
จากเหตุการณ์การสูญหายของวัตถุกัมมันตรังสีซีเซียม 137 จากโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งในจังหวัดปราจีนบุรี
- ที่เกิดเหตุมีค่าความแรงรังสี (Activity) ปัจจุบันอยู่ที่ 41.4 mCi ซึ่งเมื่อเทียบกับความแรงรังสีเริ่มต้นวัดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2538 อยู่ที่ 80 mCi หรือถ้าคิดเป็นน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 0.000505 กรัม (505 ไมโครกรัม) ปริมาณรังสีที่ปล่อยออกมาจากแท่งเหล็กที่บรรจุ 129 mSv/hr จะมีผลทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย (2000 mGy) โดยเกิดผิวหนังอักเสบ ผื่น บวม แดง ต่อเมื่อกอดแท่งนี้เป็นเวลา 15 ชั่วโมงครึ่ง
- ปริมาณรังสีซีเซียมในอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล (Chernobyl) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2529 คาดว่ามีการปนเปื้อนซีเซียมอยู่ในสิ่งแวดล้อม 27 กิโลกรัม (2.35×109 mCi) เท่ากับปริมาณรังสีมากกว่ากรณีที่เกิดเหตุ 56.76 ล้านเท่า (http://large.stanford.edu/courses/2012/ph241/wessells1/)
- ปริมาณรังสีเสื่อมในอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะ (Fukushima Daiichi) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 คาดว่ามีการปนเปื้อนสีเสื่อมอยู่ในสิ่งแวดล้อม 17 PBq (4.60×108 mCi) เท่ากับปริมาณรังสีมากกว่ากรณีที่เกิดเหตุนี้ 11 ล้านเท่า (https://fukushima.jaea.go.jp/QA/en/q112.html#:~:text=JAEA’s%20research%20shows%20t hat%20the,directly%20released%20into%20the%20sea.)
กลุ่มเสี่ยงจากเหตุการณ์การสูญหายของวัตถุกัมมันตรังสีซีเซียม 137 คือ ผู้ปฏิบัติงานอยู่ในบริเวณหรือช่วงเวลาที่หลอมวัตถุต้องสงสัยว่าเป็นแท่งเหล็กบรรจุกัมมันตรังสีซีเซียม 137
การรับสัมผัสรังสีซีเซียม
ช่องทางการรับรังสี |
รายละเอียด |
การรับรังสีจากภายนอก (External Radiation Hazard) |
ทางผิวหนัง (Skin) |
การป้องกัน ใช้หลัก (TDS Rules : Time, Distance and Shielding) ● ใช้เวลาให้น้อยที่สุด (Time) ● อยู่ห่างจากต้นกำเนิดรังสีให้มากที่สุด (Distance) ● ใช้อุปกรณ์ในการกำบังรังสี (Shielding) |
|
การรับรังสีจากแหล่งกำเนิดในร่างกาย (Internal Radiation Hazard) |
1) การสูดหายใจ (Inhalation) |
2) การรับประทานสิ่งที่ปนเปื้อน (Ingestion) |
รักษาพิษซีเซียมระยะเฉียบพลัน
การรักษาการเกิดพิษในระยะเฉียบพลัน
- ไม่แนะนำการลดการดูดซึมจากทางเดินอาหาร (GI Decontaminate) โดยการให้ Activated Charcoal
- รักษาตามอาการ โดยให้สารน้ำทดแทนและยาแก้อาเจียน
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เพราะอาจทำให้เกิด QT Prolong
- ให้ยาต้านพิษ (Antidote) คือ ยา Prussian blue ขณะนี้ยังไม่มีในประเทศไทย แต่อยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อนำเข้ามาใช้ในการรักษา มีข้อบ่งชี้เฉพาะผู้ป่วยที่มีการปนเปื้อนซีเซียมภายในร่างกาย (Internal Contamination) เท่านั้น ไม่ใช้รักษาหากได้รับทางผิวหนังหรือปนเปื้อนตามเสื้อผ้า
เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง
การเฝ้าระวังสุขภาพในประชากรกลุ่มเสี่ยง หมายถึง เจ้าหน้าที่หรือประชาชนที่ได้รับรังสีสะสมตั้งแต่ 0.2 Gy ขึ้นไปในเหตุการณ์นั้น ๆ โดยจัดการเฝ้าระวังอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ดังนี้
- ซักประวัติตรวจร่างกาย (History Taking and Physical Examination)
- ตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่
- ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count (CBC))
- ค่าการทำงานของไต (Creatinine, eGFR)
- ค่าเอนไซม์ตับ (AST, ALT)
- ตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ (Urine analysis (UA))
- ค่าน้ำตาลในเลือด (FBS)
- ค่าไขมันในเลือด (Lipid Profile)
- ตรวจทางรังสี (Imaging)
- ถ่ายภาพฉายรังสีทรวงอก (Chest X-ray)
- ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม (Mammogram and Ultrasound Breasts)
- ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องทั้งหมด (Whole Abdominal Ultrasound)
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
- ตรวจพิเศษอื่น ๆ ตามความเหมาะสม
หากพบวัตถุที่สงสัยไม่ควรไปนํามาส่งคืนหรือพยายามพิสูจน์ด้วยตนเอง สิ่งที่ควรทำคือ ปิดกั้นบริเวณและแจ้งสายด่วนทางนิวเคลียร์และรังสี 1296 สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เนื่องจากรังสีสามารถวัดได้ด้วยเครื่องวัดรังสีเท่านั้น