วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปจะติดต่อจากการสูดหายใจเอาเชื้อโรคที่ฟุ้งกระจายปนอยู่ในเสมหะที่ผู้ป่วยไอออกมา ทำให้ส่วนมากจะเกิดการอักเสบของปอด เชื้อวัณโรคอาจแพร่กระจายสู่อวัยวะอื่น ๆ ได้ เชื้ออาจจะฝังตัวอยู่โดยไม่เกิดอาการเป็นเวลานาน และอาจเกิดอาการขึ้น ได้ทุกเมื่อเช่นกัน นอกจากนั้นเชื้ออาจติดต่อจากการสัมผัสโดยตรงได้ด้วย
อาการวัณโรคปอด
อาการของวัณโรคปอดที่พบได้คือ
- ไอเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์
- ไอมีเสมหะปนเลือด
- ผอมลง น้ำหนักลด
- มีไข้ อ่อนเพลีย
***ถ้ามีอาการเหล่านี้ควรรีบมาพบแพทย์
เชื้อวัณโรคหู คอ จมูก
การติดเชื้อวัณโรคในอวัยวะบริเวณหู คอ จมูกพบได้น้อย และมักจะพบร่วมกับการติดเชื้อในปอด อวัยวะที่พบได้เช่น บริเวณกล่องเสียง โดยผู้ป่วยจะมีอาการ- ไอ
- เสียงแหบ
- เจ็บคอ
- เจ็บร้าวไปหู
- ลิ้น
- เหงือก
- กระพุ้งแก้ม
- ต่อมน้ำเหลืองที่คอ
ในส่วนของผนังลำคอจนถึงโพรงหลังจมูกพบได้น้อยมาก ๆ บริเวณหลังโพรงจมูกจะมีเส้นเลือดฝอยปริมาณมาก และอยู่ตื้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการของเลือดกำเดาไหลหรือไอเป็นเลือดได้ การตรวจบริเวณโพรงหลังจมูก แพทย์หูคอจมูกจะใช้กระจกส่องตรวจผ่านทางลำคอ หรือใช้กล้องส่องผ่านทางจมูกเข้าไปตรวจดู ซึ่งอาจพบลักษณะเป็นก้อนเป็นแผล การตัดชิ้นเนื้อเล็ก ๆ ออกมาตรวจจะช่วยในการวินิจฉัยได้
ผู้ที่มีความเสี่ยงวัณโรค
อย่างไรก็ตามวัณโรคสามารถรักษาได้ แต่ต้องใช้เวลานานกว่าแบคทีเรียชนิดอื่น ๆ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค เช่น
- ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค เช่น ญาติ, บุคลากรทางการแพทย์
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกัน เช่น
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิ
- ผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์
- ผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด
- ผู้ป่วยเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ
- ผู้ป่วยหลังผ่าตัด
- ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV
- ผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ
ป้องกันวัณโรค
- ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี
- ถ้าจำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในบริเวณพื้นที่แออัด ควรใส่หน้ากากอนามัย
การฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรคกำหนดให้ใช้เพียงเข็มเดียว โดยฉีดเข้าใต้ผิวหนังในเด็กแรกคลอด หรือคนที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ส่วนการฉีดในเด็กให้ผลป้องกันได้ดีกว่าผู้ใหญ่ หลังฉีดจะเกิดแผลพุพองบริเวณที่ฉีดและหายไปภายใน 1 เดือน โดยภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นประมาณ 2 เดือนหลังฉีด