ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแดง หลุมสิวบนใบหน้า ไม่เพียงกวนใจและทำให้สูญเสียความมั่นใจ แต่ยังอาจเป็นปัญหาผิวเรื้อรัง ดังนั้นการมีตัวช่วยลดเลือน รักษา ป้องกันที่ต้นเหตุของฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแดง หลุมสิวบนใบหน้า ไม่เพียงคืนความมั่นใจ แต่ยังช่วยดูแลผิวให้แข็งแรงในระยะยาว
ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า
- ผลิตเซลล์เม็ดสีมากเกินไป (Hyperactive Melanocytes)
- เยื่อบุรองฐานถูกทำลาย (Damaged Basement Membrane)
- มีการเพิ่มจำนวนของเส้นเลือดที่ผิดปกติ (Increased Abnormal Vasculature)
- มีการเพิ่มขึ้นของเซลล์ไฟโบรบลาสที่เริ่มชรา (Increased Senescent Fibroblast)
รู้จักกับตัวช่วยแก้ฝ้า
SYLFIRM เป็นเทคโนโลยีที่ผ่านการค้นคว้าวิจัยโดย Silicon Valley ประเทศสหรัฐอเมริกาและตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ ใช้การปล่อยคลื่นวิทยุขนาดเล็กแบบ SR3 (RP) Technology (Selective Regional Regenerative RF) เป็นช่วง ๆ โดยเลือกตำแหน่งเนื้อเยื่อและความลึกที่ต้องการได้ เพื่อเข้าไปทำลายเส้นเลือดผิดปกติใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความผิดปกติของเม็ดสีและการกลับมาเป็นซ้ำของฝ้า จึงช่วยแก้ปัญหาฝ้าและป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ อีกทั้งยังกระตุ้นคอลลาเจน ลดการส่งเม็ดสีจากผิวหนังส่วนบนสู่ผิวหนังส่วนล่าง ลดริ้วรอย ลดแผลเป็นหลุมสิว กระชับรูขุมขน ผิวแข็งแรงดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น โดยจะต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์ ประมาณ 3 – 12 ครั้งขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล
ข้อดีของ SYLFIRM
- รักษา ป้องกัน และไม่ทำให้ฝ้า ฝ้าดื้อ รอยหลังการทำเลเซอร์กลับมาเป็นซ้ำ หากทำอย่างต่อเนื่อง
- รอยโรคจากเส้นเลือด รอยแดง รอยสิวจางลง หลังจากทำติดต่อกันต่อเนื่อง 3 ครั้งขึ้นไป
- แผลเป็น หลุมสิวดีขึ้น หากทำครบจำนวนครั้งตามคำแนะนำของแพทย์
- ริ้วรอยดีขึ้นหลังทำเพียง 2 ครั้ง โดยเฉพาะริ้วรอยใต้ตา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
- ผิวกระจ่างใสขึ้น ผิวหน้าเรียบเนียน รูขุมขนเล็กลง
- เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
- เจ็บน้อย พักฟื้นสั้น ผลข้างเคียงน้อย
- สามารถรักษาร่วมกับเทคโนโลยีอื่นได้ในวันเดียวกัน
ดูแลหลังรักษา
- ประคบเย็นหรือมาส์กหน้าเพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองทันทีหลังการรักษา
- ทำความสะอาดผิวได้ 1 วันหลังทำการรักษาแบบใช้พลังงานสูงและ 4 ชั่วโมงหลังรักษาทั่วไป
- ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวหรือสครับประมาณ 2 สัปดาห์
- ทาครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้น 2 – 3 ครั้งต่อวัน
- เลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดที่มี SPF มากกว่า 30 วันละ 2 – 3 ครั้ง
- เลี่ยงการรักษาด้วยแสง 2 สัปดาห์
- เลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์
- อย่าถูหรือทำให้ระคายเคืองบริเวณที่รักษา
- ทายาตามที่แพทย์สั่งขึ้นอยู่กับรอยโรคและสภาพผิวของผู้ป่วย
- เลี่ยงกิจกรรมหนัก ออกกำลังกาย ว่ายน้ำ แช่น้ำร้อน ซาวน่า 1 – 2 สัปดาห์
- เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ 1 – 2 สัปดาห์
ผู้ที่ห้ามทำการรักษา
- ผู้ป่วยที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจเทียม เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ฝังในร่างกาย
- ผู้ป่วยมะเร็ง
- ผู้ป่วยโรคหัวใจ
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร
- ผู้ป่วยเบาหวานหรือมีความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ
- ผู้ป่วยที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
- ผู้ที่บริโภคหรือฉีดยาต้านการแข็งตัวของเลือดในช่วง 10 วันที่ผ่านมา
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา ได้แก่ ผื่นแพ้ บวม ร้อนผ่าว ผิวไหม้ สิว รูขุมขนอักเสบ ลมพิษ ตกสะเก็ด ผิวแห้งลอก สามารถเกิดขึ้นได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางทันที และควรเข้ารับบริการกับโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานเพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ