ไส้เลื่อน (Hernia) เป็นภาวะของโรคที่มีความหมายตรงตัว คือ ลำไส้มีโอกาสที่จะเลื่อนเข้าออกผ่านรูหรือผนังกล้ามหน้าท้องที่อ่อนแอ แต่หากเมื่อไรที่ไส้เลื่อนออกมาแล้วไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้เหมือนเดิม ถือเป็นภาวะไส้เลื่อนติดคา (Incarcerated Hernia) ซึ่งหากปล่อยไว้ไม่รักษา มีโอกาสที่ไส้เลื่อนถูกบีบรัดจนขาดเลือด และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นที่อันตรายได้ การเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว และหมั่นสังเกตตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยในทุกเพศและทุกวัย
ใส่ใจโรคไส้เลื่อน
โรคไส้เลื่อน คือ โรคที่อวัยวะภายในช่องท้องบางส่วน (ซึ่งมักจะเป็นไขมันในช่องท้องหรือลำไส้) เกิดการเคลื่อนตัวออกจากตำแหน่งที่ควรจะเป็นผ่านรูหรือดันตัวผ่านผนังหน้าท้องที่หย่อนยานสูญเสียความแข็งแรง หรือบริเวณแผลผ่าตัด มักปรากฏเป็นก้อนตุงออกมาให้เห็น โดยปกติแล้วช่องท้องจะมีรู ซึ่งลำไส้สามารถเลื่อนออกมาได้ประมาณ 3 – 4 รู แต่ทั้งนี้ไส้เลื่อนจะเกิดบริเวณใดขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยมากในคนหนุ่มมักจะเกิดไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบ ส่วนผู้หญิงอาจพบไส้เลื่อนใต้ขาหนีบ เป็นต้น
ชนิดของไส้เลื่อน
โรคไส้เลื่อนแบ่งออกเป็นหลายชนิดตามตำแหน่งที่อวัยวะเคลื่อนไปอยู่และตามสาเหตุการเกิด การรักษาส่วนใหญ่มักจะต้องอาศัยการผ่าตัด ไส้เลื่อนชนิดที่พบได้บ่อย คือ
- ไส้เลื่อนที่ขาหนีบ (Groin / Inguinal Hernia) หรือถ้าเป็นมาก ๆ อาจเป็นไส้เลื่อนถุงอัณฑะ (Scrotal Hernia) มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากในผู้ชายช่องนี้จะเป็นช่องให้ลูกอัณฑะซึ่งเคยอยู่ในช่องท้องและค่อย ๆ เลื่อนลงออกมาข้างนอก จากนั้นผนังหน้าท้องจะค่อย ๆ ปิดเองตามธรรมชาติ แต่บางคนปิดไม่สมบูรณ์ หรือมีภาวะที่ทำให้ลำไส้เลื่อนโผล่ออกมาเป็นก้อนตุงที่บริเวณขาหนีบหรือถุงอัณฑะ ไส้เลื่อนชนิดนี้มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ เช่น ไส้เลื่อนชนิดติดคา เป็นต้น
- ไส้เลื่อนที่สะดือ (Umbilical Hernia) หรือที่เรียกกันว่าสะดือจุ่นหรือโป่งเวลาร้องไห้ มักเป็นตั้งแต่แรกเกิดและจะหายได้เองเมื่ออายุ 2 ปี
- ไส้เลื่อนกะบังลม (Hiatal Hernia) เกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดกระบังลมหย่อนยาน ทำให้บางส่วนของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหารเคลื่อนผ่านรูบริเวณกระบังลมที่หย่อนเข้าไปอยู่ในช่องอก ส่วนใหญ่มีอาการของโรคกรดไหลย้อน
- ไส้เลื่อนบริเวณใต้ขาหนีบ (Femoral Hernia) มักพบในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่
- ไส้เลื่อนภายในช่องเชิงกราน (Obturator Hernia) มักพบในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่
- ไส้เลื่อนที่เกิดจากแผลผ่าตัด (Incisional Hernia) พบได้ในผู้ที่เคยผ่าตัดช่องท้องมาก่อน เนื่องจากกล้ามเนื้อและพังพืดนั้นหย่อนยานส่งผลให้ลำไส้เคลื่อนตัวมาตุงเป็นก้อนโป่งบริเวณแผลผ่าตัด
ปัจจัยเสี่ยงไส้เลื่อน
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดไส้เลื่อน คือ
- อายุที่มากขึ้น
- ความผิดปกติแต่กำเนิด
- ยกของหนักบ่อย ๆ
- ไอเรื้อรัง
- โรคถุงลมโป่งพองหรือหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
- โรคต่อมลูกหมากโต
- ภาวะท้องผูก เบ่งอุจจาระหรือปัสสาวะเป็นประจำ
- เกิดภาวะมีน้ำในช่องท้องปริมาณมาก
- การมีน้ำหนักตัวมากหรือโรคอ้วน
- สูบบุหรี่จัด
- หญิงตั้งครรภ์ ส่งผลให้ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
อาการไส้เลื่อน
ไส้เลื่อนส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ แต่หากเป็นนาน ๆ อาจมีอาการปวดหน่วง ๆ เหมือนมีอะไรไหลออกมาหรือเจ็บบริเวณที่เป็น ก้อนนี้มักผลุบเข้าออกได้และยุบหายไปเมื่อนอน ผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจวินิจฉัยแยกโรคออกจากโรคอื่น ๆ อาทิ ก้อนเนื้องอก ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ถุงน้ำที่อัณฑะหรืออัณฑะบิดตัว หรือโรคฝีมะม่วง เป็นต้น บางกรณีอาจจำเป็นต้องตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษอื่น ๆ อาทิ การตรวจอัลตราซาวนด์ในกรณีที่ก้อนไม่ชัดเจน ทั้งนี้การรักษาขึ้นอยู่กับชนิดและอาการของไส้เลื่อน หากเป็นไส้เลื่อนที่มีขนาดโตขึ้น หรือไม่สามารถดันไส้เลื่อนกลับเข้าตำแหน่งเดิมได้ ปวดท้อง ไม่ควรปล่อยไว้ ควรรับการรักษาให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
รักษาไส้เลื่อน
การรักษาไส้เลื่อนมีวิธีการรักษาอยู่ 2 แบบ คือ
- การผ่าตัดไส้เลื่อนแบบเปิดหน้าท้อง (แบบดั้งเดิม) เพื่อทำการปิดแผ่นตาข่ายไว้นอกช่องท้อง มีข้อดีคือสามารถทำภายใต้ยาชาเฉพาะที่ จึงเหมาะกับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่ไม่สามารถดมยาสลบหรือบล็อกหลังได้
- การผ่าตัดไส้เลื่อนแบบผ่านกล้องแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery: MIS) โดยแพทย์จะทำการเจาะรูขนาดเล็กจำนวน 3 รูบริเวณผนังหน้าท้องเพื่อนำลำไส้กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม และเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อที่เป็นจุดอ่อนที่ทำให้ไส้เลื่อนเคลื่อนที่ออก ด้วยแผ่นตาข่ายสังเคราะห์ที่มีความกว้างยาวประมาณ 10 x 15 เซนติเมตร (ขนาดใหญ่) ซึ่งการผ่าตัดผ่านกล้องสามารถป้องกันภาวะไส้เลื่อนอื่นบริเวณขาหนีบได้ด้วย อีกทั้งการปิดแผ่นตาข่ายจากภายในช่องท้องยังช่วยลดอัตราการกลับมาเป็นไส้เลื่อนซ้ำได้ โดยทั่วไปใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 45 – 60 นาที รอยแผลหลังผ่าตัดมีขนาดเล็ก 5 – 10 มิลลิเมตร อาการปวดแผลหลังผ่าตัดน้อย ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้รวดเร็วหลังฟื้นตัว
ภาวะไส้เลื่อนติดคา
ในกรณีที่ไส้เลื่อนมีการหักพับหรือหมุนไปมาค้างติด ไม่สามารถดันกลับเข้าที่เดิมได้ นั้นหมายถึง ภาวะไส้เลื่อนติดคา (Incarcerated Hernia) ซึ่งจะก่อให้เกิดภาวะลำไส้อุดตัน (Intestinal Obstruction) หากปล่อยทิ้งไว้นานเกิน 6 ชั่วโมงจะทำให้ลำไส้ส่วนที่ติดคาบวมขาดเลือดไปเลี้ยงนาน อาจเกิดภาวะลำไส้เน่า (Strangulated Hernia) มีโอกาสเกิดการทะลุหรือแตก เชื้อโรคกระจายไปทั่วท้องและเข้าสู่กระแสเลือด เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ ซึ่งหากมาถึงขั้นนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่และอันตรายถึงชีวิต
สิ่งสำคัญในการรักษาผู้ป่วยที่เกิดภาวะไส้เลื่อนติดคา ขั้นแรกคือ แพทย์จะพยายามนำไส้เลื่อนที่ติดคาให้เคลื่อนกลับเข้าไปในตำแหน่งเดิมแล้วจึงผ่าตัดรักษาไส้เลื่อนเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการติดคาซ้ำอีกครั้ง หากไม่สามารถดันไส้เลื่อนกลับเข้าตำแหน่งเดิมได้สำเร็จ แพทย์จะทำการผ่าตัดรักษาอย่างเร่งด่วนเพื่อลดการเกิดภาวะไส้เลื่อนชนิดลำไส้เน่า ซึ่งจะต้องตัดลำไส้ส่วนที่เน่าทิ้งไป
ผ่าตัดผ่านกล้องรักษาไส้เลื่อนขาหนีบ
การผ่าตัดไส้เลื่อนขาหนีบผ่านกล้องส่องผนังหน้าท้อง โดยไม่ทำลายเยื่อบุช่องท้อง (Laparoscopic Total Extraperitoneal Hernia Repair : TEP) จำเป็นต้องใช้ทีมศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง เนื่องจากต้องผ่าตัดเลาะพังผืด ซึ่งใกล้กับอวัยวะสำคัญ ได้แก่ เส้นเลือดและเส้นประสาทขนาดเล็กจำนวนมาก แต่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ซึ่งใช้กล้องความชัดระดับ เทคโนโลยี 4K Ultra High Definition ช่วยให้ศัลยแพทย์มองเห็นอวัยวะต่าง ๆ ภายในช่องท้อง เส้นเลือด และเส้นประสาทขณะเลาะพังผืดได้อย่างชัดเจน ทำให้การผ่าตัดแก้ไขมีความถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้น ลดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย เสียเลือดน้อย ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้เร็ว และที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะควบคุมปัจจัยเสี่ยงด้วย จึงจะช่วยป้องกันไส้เลื่อนกลับมาเป็นซ้ำได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อไรก็ตามถ้ามีก้อนตุงผิดสังเกต หรือมีอาการเจ็บหรือปวด ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อนจากไส้เลื่อนติดคา