สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง เมื่อไตทำงานลดลง ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ เกิดการเสื่อมสภาพลงอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารที่เป็นหัวใจสำคัญในการชะลอไตวายเรื้อรัง ช่วยควบคุมอาการและดูแลไม่ให้ไตทำงานหนักจนเกินไป
ทำไมผู้ป่วยไตต้องคุมอาหาร
การได้รับอาหารที่เหมาะสมดีต่อผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น
- ชะลอความเสื่อมของไตให้ช้าที่สุด
- ยืดระยะเวลาที่ต้องฟอกเลือดออกไป
- ลดการคั่งของของเสียในเลือดที่นำไปสู่การเสียชีวิต
- ป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
- ป้องกันการขาดสารอาหาร
- รักษาภาวะโภชนาการของผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
- ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมีสุขภาพโดยรวมดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดี
กินให้ถูกเมื่อไตเสื่อม
โรคไตเรื้อรังในเเต่ละระยะมีความต้องการสารอาหารแตกต่างกันจึงควรได้รับการดูเเลอย่างใกล้ชิดเพื่อชะลอการเสื่อมของไต โดยระมัดระวังการกินอาหารใน 6 กลุ่มต่อไปนี้
1) เนื้อสัตว์
- แหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่ร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่าและเกิดของเสียคั่งในเลือดน้อยกว่าโปรตีนจากพืช
- หากรับประทานโปรตีนมากเกินไปจะส่งผลเสีย ทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นเเละเกิดการคั่งของของเสีย
- หากรับประทานโปรตีนน้อยเกินไปอาจทำให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ภูมิคุ้มกันเเย่ลง เพิ่มความเสี่ยงเสียชีวิตได้
- ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังควรได้รับคำเเนะนำจากทีมโภชนาการเพื่อเลือกรับประทานเนื้อสัตว์อย่างเหมาะสม
2) ข้าวเเละแป้ง
- แหล่งพลังงานสำคัญในผู้ป่วยโรคไตเสื่อม ถ้าร่างกายได้รับพลังงานเพียงพอจะช่วยป้องกันการสลายของมวลกล้ามเนื้อได้ดี
- อาหารกลุ่มแป้งมีโปรตีนในปริมาณที่เเตกต่างกัน อาจทำให้ผู้ป่วยโรคไตเสื่อมระยะ 3 – 5 จำกัดการรับประทานโปรตีนได้ยาก ผู้ป่วยควรได้รับความรู้ในการเลือกกลุ่มเเป้งที่ถูกต้องและการเลือกใช้แป้งปลอดโปรตีนอย่างเหมาะสม เช่น วุ้นเส้น ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ และสาคู เพื่อให้การรักษาโรคไตเสื่อมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
3) ไขมัน
- เลือกไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง (ไขมันอิ่มตัวสูงพบในมันและหนังสัตว์ น้ำมันจากสัตว์ เป็นต้น)
- รับประทานไขมันที่ดีต่อหัวใจ ได่เเก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น
4) ผักและผลไม้
- เเหล่งเเร่ธาตุที่มีความสำคัญมาก เเต่เมื่อไตสูญเสียความสามารถในการรักษาสมดุลเกลือเเร่บางตัว การเลือกรับประทานผักผลไม้ที่มีเเร่ธาตุต่ำจึงมีความสำคัญต่อการรักษาอย่างมาก
- ชนิดของผักและผลไม้ที่ควรเลือกรับประทานขึ้นอยู่กับระดับโพแทสเซียม เเมกนีเซียม เเคลเซียม เเละโซเดียมในเลือดขณะนั้น
- การรับประทานผักและผลไม้ที่เหมาะสมช่วยลดการใช้ยาขับเเร่ธาตุเเละยืดระยะเวลาที่ต้องฟอกเลือดออกไป
5) เกลือ
- แหล่งของโซเดียม
- การรับประทานเกลือมากเกินไป ทำให้ได้รับโซเดียมเกินความจำเป็น ความดันโลหิตสูงขึ้น เกิดภาวะบวมน้ำ จึงควรจำกัดการรับประทานโซเดียมไม่เกินวันละ 2,000 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา โดยทั่วไปอาหารตามธรรมชาติที่ไม่ปรุงรสจะมีโซเดียมอยู่แล้วจึงไม่ควรรับประทานเกลือหรือซอสปรุงรสต่าง ๆ ที่มีโซเดียมเกินวันละ 1,000 – 1,200 มิลลิกรัม (ตัวอย่างเครื่องปรุงที่มีปริมาณโซเดียม 400 มิลลิกรัม เช่น เกลือ 1/4 ช้อนชา, น้ำปลา 1 ช้อนชา, ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา, ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ, ซอสมะเขือเทศหรือซอสพริก 2 ช้อนโต๊ะ เป็นต้น)
6) น้ำ
- ผู้ที่ไตขับปัสสาวะได้ลดลงมีความจำเป็นต้องจำกัดปริมาณน้ำดื่มเพื่อป้องกันภาวะบวมน้ำเเละน้ำท่วมปอด
- ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวันจะนับรวมถึงอาหารทุกชนิดที่เป็นของเหลวเเละเครื่องดื่ม เช่น น้ำเปล่า ซุป น้ำผลไม้ น้ำผัก เป็นต้น
เพราะไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องดูแล โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องในวันไตโลก (World Kidney Day) ที่ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 2 ในเดือนมีนาคมของทุกปี อยากให้ทุกคนตระหนักถึงโรคไตและป้องกันโรคไตด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลี่ยงอาหารเค็มจัด หวานจัด ดื่มน้ำวันละ 8 – 10 แก้ว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ ตรวจคัดกรองไตอย่างน้อยปีละครั้ง สำหรับผู้ป่วยโรคไตควรพบแพทย์ตามนัดหมายและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ข้อมูล : นักกำหนดอาหาร ศูนย์โรคไต โรงพยาบาลกรุงเทพ