เนื้องอกที่ตับอ่อนสามารถเกิดขึ้นได้และไม่ควรชะล่าใจ เพราะอาจตรวจเป็นมะเร็งตับอ่อนหรือโรคอื่นของตับอ่อนได้ ดังนั้นการตรวจเช็กสุขภาพตับอ่อนและปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติคือเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย
รู้ได้อย่างไรว่ามีก้อนเนื้อที่ตับอ่อน?
- การตรวจหาก้อนเนื้อที่ตับอ่อนเบื้องต้นสามารถทำได้โดยการตรวจอัลตราซาวนด์ แต่อาจเห็นตับอ่อนได้ไม่ชัดเจนเนื่องจากตับอ่อนอยู่ด้านหลังและถูกบังโดยกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ดังนั้นอาจตรวจดูให้ชัดเจนขึ้นด้วยการตรวจ CT Scan หรือ MRI
- ก้อนเนื้อที่ตับอ่อนอาจทำให้ผู้ป่วยเป็นดีซ่าน ตรวจร่างกายพบก้อนที่หน้าท้อง อิ่มเร็ว และน้ำหนักลด
- ก้อนเนื้อที่ตับอ่อนอาจถูกตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพด้วยการอัลตราซาวนด์หรือการตรวจโรคในช่องท้องอื่น ๆ
ก้อนเนื้อที่ตับอ่อนลักษณะใดที่เป็นเนื้อร้าย?
- ก้อนเนื้อที่ตับอ่อนไม่ได้เป็นเนื้อร้ายไปเสียทั้งหมด
- ก้อนเนื้อที่ตับอ่อนอาจเป็นก้อนเนื้อหรือถุงน้ำ (cyst) หากพบเป็นก้อนเนื้อมีโอกาสการวินิจฉัยเป็นเนื้อร้ายสูง
- ถุงน้ำของตับอ่อนส่วนใหญ่จะไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อการวินิจฉัยที่ชัดเจนและการรักษาที่เหมาะสม
การวินิจฉัยก้อนเนื้อที่ตับอ่อนทำอย่างไร?
- การตรวจด้วยเครื่อง CT Scan และ MRI มีความชัดเจนและถูกต้องในการวินิจฉัยโรคที่ร้อยละ 85 – 90
- การวินิจฉัยเนื้อเยื่ออาจไม่จำเป็นในผู้ป่วยทุกราย แต่จะช่วยในผู้ป่วยที่วินิจฉัยไม่แน่ชัด หรือเพื่อยืนยันการวินิจฉัยถ้าอยู่ในระยะลุกลาม
- การวินิจฉัยถุงน้ำอาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติมโดยการส่องกล้อง Endoscopic Ultrasound (EUS) และอาจมีการเจาะดูดน้ำจากถุงน้ำออกมาวิเคราะห์เพื่อให้วินิจฉัยได้อย่างชัดเจน
ขนาดของก้อนเนื้อมีความสำคัญหรือไม่?
- ขนาดของก้อนเนื้อหรือถุงน้ำของตับอ่อนอาจสัมพันธ์กับโอกาสของการวินิจฉัยเนื้อร้าย ถ้ามีขนาดใหญ่มักพบความเสี่ยงของการวินิจฉัยเป็นเนื้อร้ายสูงกว่าขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามถุงน้ำบางชนิดที่มีขนาดใหญ่อาจไม่เป็นเนื้อร้ายได้
- แพทย์จะแนะนำการผ่าตัดรักษาในมะเร็งตับอ่อนที่จัดอยู่ในระยะที่ผ่าตัดรักษาได้หรือโรคที่มีโอกาสพัฒนาเป็นเนื้อร้ายในอนาคต
- ก้อนเนื้อที่มีความเสี่ยงของการเป็นเนื้อร้าย เช่น ก้อนเนื้อที่เกิดจากต่อมไร้ท่อของตับอ่อน แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดหากมีขนาดใหญ่กว่า 2 เซนติเมตร แต่ถ้าเล็กกว่า 2 เซนติเมตรจะประเมินจากการเจาะตรวจเนื้อเยื่อและดูลักษณะการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เพื่อพิจารณาเลือกการรักษาที่เหมาะสม
- ในกลุ่มถุงน้ำของตับอ่อนหากวินิจฉัยเป็นเนื้อร้ายควรรักษาด้วยวิธีผ่าตัด แต่ถ้าเป็นถุงน้ำที่มีขนาดเล็กและไม่มีความเสี่ยงสูง สามารถรักษาได้ด้วยการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
การพยากรณ์โรคและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับอ่อน?
- มะเร็งตับอ่อนเป็นมะเร็งชนิดร้ายแรงที่มีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดีและอัตราการอยู่รอดต่ำ ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์มักอยู่ในระยะลุกลามหรือมีการกระจายของโรคไปที่อวัยวะอื่น ๆ โดยมีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 25 – 30 ที่สามารถผ่าตัดรักษาได้
- ปัจจัยความเสี่ยงบางประการเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ เช่น โรคอ้วน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งต่อมาอาจก่อให้เกิดตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง และประเภทของอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ คอเลสเตอรอล อาหารทอด และไนโตรซามีน
ผ่าตัดก้อนเนื้อที่ตับอ่อนออกดีหรือไม่?
- ก้อนเนื้อที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นมะเร็งโดยการค้นพบทางรังสีวิทยา หรือทางพยาธิวิทยา หรือทั้งสองอย่างควรรักษาด้วยวิธีผ่าตัดถ้าวินิจฉัยเป็นระยะที่ยังผ่าตัดได้ เนื่องจากการผ่าตัดเป็นการรักษาหลักเพื่อหวังผลหายขาด
- สำหรับก้อนเนื้อหรือถุงซีสต์ที่ไม่ทราบแน่ชัดและมีความเสี่ยงต่ำ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อประเมินและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม
หากต้องผ่าตัดตับอ่อนควรเลือกเทคนิคการผ่าตัดแบบใด?
- ตำแหน่งของก้อนเนื้อเป็นตัวกำหนดการใช้เทคนิคในการผ่าตัด
- การผ่าตัดผ่านกล้องของตับอ่อนส่วนปลาย (laparoscopic distal pancreatectomy) อาจพิจารณาในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพอยู่ที่บริเวณลำตัวหรือหางของตับอ่อน (pancreatic body and tail) และไม่มีข้อจำกัดใด ๆ มีข้อดีคือ ฟื้นตัวเร็ว ระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลสั้นลง และมีอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิด
- การผ่าตัดตับอ่อนบริเวณส่วนหัวของตับอ่อน (pancreatic head) อาจพิจารณาเลือกการผ่าตัดแบบเปิดเป็นหลักเนื่องจากมีกายวิภาคและเทคนิคการผ่าตัดที่ซับซ้อน โดยการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดผ่านกล้อง (laparoscopic pancreaticoduodenectomy) เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างใหม่และใช้เวลาในการผ่าตัดนาน แต่อาจพิจารณาวิธีนี้หากศัลยแพทย์มีความชำนาญ
มะเร็งตับอ่อนป้องกันได้อย่างไร?
- รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ รวมทั้งผักและผลไม้เพื่อช่วยลดความเสี่ยง
- ดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอและควบคุมน้ำหนัก
- งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสม
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง ดีซ่าน ท้องอืด อิ่มเร็ว หรือน้ำหนักลด ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อให้การวินิจฉัยและการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม