คนส่วนใหญ่มักจะละเลยอาการปวดที่เกิดตามข้อต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นนิ้วมือ นิ้วเท้า ข้อเท้า ข้อเข่า หรือข้อสะโพก และมักคิดว่าเป็นเพียงอาการปวดที่เกิดขึ้นตามอายุที่สูงขึ้นหรือบาดเจ็บจากการใช้งาน การกินยาบรรเทาอาการปวดและพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมและท่าทางต่าง ๆ ที่ทำให้อาการปวดข้อกำเริบจึงเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งอาการปวดข้ออาจหายไปได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป อาการปวดข้อก็กลายเป็นปวดเรื้อรังที่มีความรุนแรงมากขึ้น และอาจเป็นอาการนำของโรคร้ายบางชนิด
ปวดตามข้อบอกโรค
ปวดตามข้อ คือหนึ่งในลักษณะอาการที่บ่งบอกได้หลายโรคด้วยกัน ได้แก่ โรคเกาต์ โรครูมาตอยด์ ข้อเสื่อม และโรคเอส แอล อี ซึ่งแต่ละโรคก็มีลักษณะอาการปวดตามข้อที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันออกไป เช่น
1) เกาต์
โรคเกาต์ อาการปวดที่เกิดขึ้น มักเกิดบวมแดงร้อนข้อแบบเฉียบพลัน แม้ว่าจะอยู่เฉย ๆ ไม่มีประวัติอุบัติเหตุ ไม่ได้รับการกระทบกระแทกรุนแรงใด ๆ มีอาการปวดข้อเดียวไม่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันหลายข้อ ข้อที่พบว่าเป็นโรคเกาต์ได้บ่อยที่สุด ได้แก่ ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า
2) ข้อเสื่อม
โรคข้อเสื่อม ระยะเริ่มต้นจะมีอาการปวดสัมพันธ์กับการใช้งาน ระยะปานกลาง เมื่อกระดูกอ่อนเริ่มสึกกร่อน ข้ออาจมีการอักเสบร่วมกับข้อเริ่มโค้งงอ เหยียดงอไม่สุด ระยะรุนแรง เมื่อกระดูกอ่อนสึกกร่อนมากขึ้น ข้อเริ่มหลวมไม่มั่นคง ข้อหนาตัวขึ้น จากกระดูกงอกหนา ข้อโก่งงอ ผิดรูปชัดเจน เวลาเดินต้องกางขากว้างขึ้น กล้ามเนื้อรอบข้อลีบเล็กลง ขณะลุกขึ้นจากท่านั่งจะมีอาการปวดที่รุนแรง
3) เอส แอล อี
โรคเอส แอล อี เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย บางรายอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละระบบ มักมีอาการทางข้อและกล้ามเนื้อเป็นอาการนำ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดข้อ มักเป็นข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางครั้งมีบวมแดงร้อนร่วมด้วยคล้ายผู้ป่วยรูมาตอยด์ แต่บางรายอาจรุนแรงถึงชีวิต
4) รูมาตอยด์
โรครูมาตอยด์ อาการปวดข้อมักเกิดมากที่สุดช่วงตื่นนอน อาจมีอาการอยู่ 1 – 2 ชั่วโมง หรือทั้งวันก็ได้ มีอาการปวด บวม และเคลื่อนไหวข้อลำบาก ตำแหน่งของข้อที่มีอาการปวดมากที่สุดมักจะเป็นที่ข้อมือและข้อนิ้วมือ แต่มีโอกาสปวดข้อไหนก็ได้ ลักษณะอาการปวดข้อช่วงเช้านี้เป็นลักษณะสำคัญของโรครูมาตอยด์ นอกจากอาการทางข้อแล้ว ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีไข้ต่ำ ๆ ตาแห้ง ปากแห้งผิดปกติ พบก้อนใต้ผิวหนังบริเวณข้อศอกและข้อนิ้วมือ
สาเหตุโรครูมาตอยด์ เกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานอย่างหนึ่ง โดยภูมิต้านทานของผู้ป่วยมีการทำลายและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อและกระดูกรอบข้อ บางรายรุนแรงจนพิการจากกระดูกถูกทำลาย ผิดรูป จากความก้าวหน้าทางการแพทย์ในระยะหลัง ทำให้เกิดความเข้าใจถึงตัวแปรต่าง ๆ ในกระบวนการอักเสบมากขึ้นจนมีการค้นพบตัวยาใหม่ ๆ ที่จะยับยั้งขบวนการอักเสบ และลดการทำลายของข้อ ซึ่งหากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้เร็ว จะสามารถยับยั้งการทำลายของเนื้อเยื่อและกระดูกรอบข้อได้ โรครูมาตอยด์จะพบได้ประมาณร้อยละ 0.5 – 1.0 ของประชากรในประเทศไทย
การวินิจฉัยโรครูมาตอยด์ ในระยะเริ่มต้นอาจจะมีความลำบากในการวินิจฉัย เนื่องจากการดำเนินของโรคมักเป็นไปอย่างช้า ๆ จำเป็นต้องให้แพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะโรคเป็นผู้วินิจฉัย ดังนั้นการวินิจฉัยจะขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและการตรวจร่างกายทางข้อที่พบว่ามีลักษณะร้อน บวมแดง และปวด การเจาะเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการจะแสดงให้เห็นถึงภาวะซีด ตรวจพบ Rheumatoid Factor ค่า Anti CCP IgG ขึ้นสูง และค่าการอักเสบในเลือดที่สูงขึ้น (ESR) ค่า ESR ที่สูงขึ้นมักจะสัมพันธ์กับจำนวนข้อที่อักเสบ นอกจากนี้การถ่ายภาพรังสีเอกซเรย์หรือการทำ MRI สามารถบอกถึงความรุนแรงของโรคได้ดวย โดยดูจากความรุนแรงของข้อที่ถูกทำลายไป อย่างไรก็ดีในผู้ป่วยโรคนี้โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอาการน้อยกว่า 6 เดือน การวินิจฉัยมักจะอาศัยอาการนำที่สำคัญ การตรวจร่างกายและการตรวจทางห้องปฏิบัติการมารวมกันในการวินิจฉัยโรคโดยแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะโรค
รักษารูมาตอยด์ มีอยู่ 4 วิธีด้วยกัน คือ
- การใช้ยา ในปัจจุบันมียามากมายที่ใช้ในการควบคุมและรักษาโรครูมาตอยด์ให้ได้ผลดี ยาเหล่านี้ ได้แก่ ยารักษารูมาตอยด์โดยเฉพาะ ยาที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคสารชีวภาพ และยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์
- การพักผ่อนและการบริหารร่างกาย
- การป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลายมาก
- การผ่าตัด จะมีบทบาทในการรักษาโรครูมาตอยด์ในกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมากแล้ว
หากร่างกายเริ่มแสดงอาการปวดตามข้อควรที่จะพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคและเข้ารับการรักษาโดยเร็ว ก่อนที่จะปวดเรื้อรังจนส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวัน