ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคสะเก็ดเงินให้หายขาด ส่วนใหญ่เป็นการรักษาโดยใช้ยาทาคู่กับยารับประทาน แต่ล่าสุดพบว่าการรักษาด้วยแสงอัลตราไวโอเลตร่วมด้วยช่วยให้การรักษาเร็วขึ้น
รังสีอัลตราไวโอเลตรักษาสะเก็ดเงิน
รังสีอัลตราไวโอเลตที่ใช้ในการรักษาโรคสะเก็ดเงินมี 2 ชนิด คือ
-
รังสีอัลตราไวโอเลต เอ พูว่า (PUVA) ซึ่งมีความยาวคลื่น 320 – 400 นาโนเมตร ร่วมกับการกินยาเซอราเลน ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการทางโรคผิวหนังรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก หรือใช้ควบคู่กับการรักษาด้วยยาทาหรือยากิน ผู้ป่วยได้รับการฉายแสงสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง และจะมีอาการดีขึ้นหลังจากได้รับการฉายแสงประมาณ 12 – 18 ครั้ง แต่อาจต้องฉายแสงอย่างต่อเนื่องเเพื่อป้องกันการกำเริบของโรคอย่างน้อย 3 เดือนติดต่อกัน โดยจะให้ผลดีประมาณ 70 – 80% ขึ้นไป ผลข้างเคียงน้อย ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคันและแดงบริเวณผิวหนังที่ฉายแสงหลังทำการรักษา ข้อดีคือ ส่วนใหญ่การกลับเป็นซ้ำของโรคจะน้อยกว่าการรักษาโดยใช้ยาทาหรือยากิน
-
รังสีอัลตราไวโอเลต บี แต่เดิมใช้คลื่นแสงในช่วง 290 – 320 นาโนเมตร เป็นความยาวคลื่นแสงช่วงกว้าง (Broadband UVB) พบผลข้างเคียงจาการรักษาค่อนข้างมาก ต่อมาได้มีการพัฒนาให้ใช้แสงในช่วงความยาวคลื่นแคบลง อยู่ในช่วง 311 นาโนเมตร เรียกว่า Narrowband UVB ผู้ป่วยไม่จำเป็นจะต้องกินยาเซอราเลน ก่อนการฉายแสงชนิดนี้
ประเภทเครื่องฉายแสง UV PHOTOTHERAPY
เครื่องฉายแสงมีหลายประเภท เช่น ชนิดฉายทั่วตัว ฉายเฉพาะมือ เท้า ฉายเฉพาะศีรษะ ซึ่งสามารถเลือกใช้ตามตำแหน่งและความรุนแรงของผื่น และยังมีเครื่องฉายแสงเฉพาะหย่อมเล็ก ๆ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องถูกแสงอัลตราไวโอเลตในปริมาณมาก
ข้อห้ามสำหรับฉายแสง UV PHOTOTHERAPY
-
มีประวัติแพ้แสงแดด
-
ผู้ป่วยมะเร็งผิวหนัง
-
ผู้ป่วยต้อกระจก
-
ผู้ป่วยที่รับประทานยาที่ทำให้ไวต่อแสงแดด เช่น ยาโรคเบาหวานและยาความดันโลหิตสูงบางชนิด หากผู้ป่วยรับประทานยาเหล่านี้อยู่ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าเพื่อวางแผนการรักษา
นอกจากโรคสะเก็ดเงิน การฉายแสงอัลตราไวโอเลตยังสามารถรักษาโรคผิวหนังชนิดอื่น ๆ อีก เช่น
- โรคด่างขาว
- ผื่นแพ้ผิวหนัง
- ผื่นผิวหนังอักเสบ
- ผื่นคันเรื้อรัง
- ผื่นคันที่พบในผู้ป่วยเบาหวาน
- โรคตับ
- โรคไต
- ผื่นคันไม่ทราบสาเหตุ
- ผื่นกุหลาบ
- มะเร็งผิวหนังบางชนิด