ต้อหินเป็นปัญหาดวงตาที่อาจร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้ สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือโรคต้อหินไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด หากเป็นแล้วแม้ได้รับการรักษาก็ไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ดังเดิม เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนใส่ใจรู้เท่าทันโรคต้อหิน ที่สำคัญควรหมั่นตรวจเช็กต้อหินกับจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการอย่างใกล้ชิดเพื่อจะได้รับมือได้ทันท่วงที
ต้อหินเกิดจากอะไร
ต้อหินเป็นโรคความเสื่อมขั้วประสาทตาที่ทำให้สูญเสียการมองเห็น ซึ่งผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าตนเองป่วยด้วยโรคนี้ เพราะไม่มีอาการบอกล่วงหน้า
ปัจจัยเสี่ยงต้อหินคืออะไร
- การใช้ยาหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
- อุบัติเหตุทางตา เช่น การกระทบกระแทกที่ดวงตา
- พันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน
ต้อหินมีกี่ชนิด
ชนิดของต้อหินแบ่งออกเป็น
- ต้อหินปฐมภูมิ (Primary Glaucoma) ได้แก่
- ชนิดมุมเปิด (Primary Open-Angle Glaucoma) แบ่งเป็น ความดันตาปกติและความดันตาสูง
- ชนิดมุมปิด (Primary Angle-Closure Glaucoma) แบ่งเป็น ต้อหินชนิดเฉียบพลันและต้อหินชนิด เรื้อรัง
- ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary Glaucoma) เป็นผลจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น อุบัติเหตุทางตา เบาหวานขึ้นจอตา
- ต้อหินแต่กำเนิด (Congenital Glaucoma) พบในเด็กแรกคลอด – 3 ปี มาจากพันธุกรรมหรือสาเหตุอื่น ๆ
อาการต้อหินเป็นอย่างไร
- ปวดตา
- น้ำตาไหล
- ตามัวลง
- เห็นรุ้งรอบดวงไฟ
หากเป็นต้อหินเฉียบพลัน อาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ซึ่งพบในผู้หญิงเอเชียค่อนข้างมาก
ความรุนแรงของโรคต้อหิน
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคต้อหินไม่สามารถทำการรักษาแล้วหายขาดได้ แต่สามารถทำการรักษาเพื่อควบคุมอาการไม่ให้แย่ลงไปกว่าเดิมได้ โดยจะต้องเลือกโรงพยาบาลรักษาต้อหินที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องมือที่ทันสมัย และมาพบจักษุแพทย์ทุก ๆ 3 เดือนตามนัดหมาย ที่สำคัญเมื่อพบว่าเป็นโรคนี้ต้องรีบรักษาโดยเร็ว อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้
นอกจากนี้ในยุคที่สมาร์ทโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พญ.เกศรินท์แนะนำว่า “ดวงตากับการใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นเรื่องที่ต้องระวัง หากต้องใช้งานตอนกลางคืนควรเปิดไฟให้สว่าง เพื่อช่วยให้สบายตา และทุก ๆ 20 นาทีถึงครึ่งชั่วโมง ควรพักสายตาประมาณ 20 วินาทีถึงครึ่งนาที และควรหยอดน้ำตาเทียมแบบไม่มีสารกันเสียเพื่อป้องกันตาแห้ง”
ตรวจวินิจฉัยโรคต้อหิน
การตรวจวินิจฉัยโรคต้อหินมีความสำคัญมาก เพราะโรคนี้ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า โดยสามารถตรวจวินิจฉัยโรคต้อหินอย่างละเอียดตามที่จักษุแพทย์แนะนำ มีทั้งการตรวจด้วยเครื่องสแกนวิเคราะห์จอประสาทตาและขั้วประสาทตา (Optical Coherence Tomography) และเครื่องตรวจลานสายตา (Computerized Static Perimetry) ซึ่งสามารถทราบผลตรวจได้ทันที ในปัจจุบันพบคนอายุ 30 กว่าเป็นต้อหินเพิ่มขึ้น บ่งบอกว่าในอนาคตคนที่เป็นต้อหินจะมีอายุน้อยลง ดังนั้นถ้าใครมีประวัติเสี่ยงหรือสงสัยว่าเป็นต้อหิน ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาโดยเร็ว แต่หากเป็นคนทั่วไปแนะนำให้ตรวจช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป
วิธีรักษาต้อหินทำอย่างไร
แม้ต้อหินจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ควบคุมอาการไม่ให้แย่ลงได้ โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำจากจักษุแพทย์ ซึ่งการรักษาต้อหินมี 3 วิธีการหลัก ๆ ได้แก่
- การรักษาต้อหินด้วยยา ได้แก่ ยาหยอดตาต้อหิน ยารับประทาน และยาฉีด ซึ่งจักษุแพทย์จะรักษาทีละขั้นตอนแล้วดูผลการตอบสนองต่อการรักษาอย่างใกล้ชิด
- การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์ ขึ้นอยู่กับชนิดต้อหิน ใช้เวลารักษาเพียงไม่นาน ส่วนใหญ่มักมีการให้ยาควบคู่ไปด้วยกัน การเลเซอร์ต้อหินผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ ตาแห้ง ตาสู้แสงไม่ได้ ระคายเคืองดวงตา ปวดตา นอกจากนี้หลังการเลเซอร์ต้อหินพักฟื้นเพียง 30 นาทีก็สามารถกลับบ้านได้
- การรักษาต้อหินด้วยการผ่าตัด
การผ่าตัดต้อหินวิธีนี้จะใช้เมื่อผู้ป่วยรักษาด้วยยาและเลเซอร์แล้วไม่ได้ผล โดยการผ่าตัดขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของต้อหิน สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ การผ่าตัดรักษาต้อหินเป็นไปเพื่อลดความดันตาไม่ใช่การผ่าตัดต้อออกไปแล้วหายขาด เพราะต้อหินเมื่อเป็นแล้ว ทำได้ดีที่สุดคือควบคุมอาการไม่ให้แย่ไปกว่าเดิม
โรงพยาบาลที่ชำนาญด้านการรักษาต้อหิน
ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมดูแลรักษาโรคต้อหินครบทุกมิติ ตั้งแต่การตรวจต้อหินที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ดูแลรักษาต้อหินด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมด้วยทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางที่มากด้วยประสบการณ์และทีมสหสาขาที่พร้อมดูแลให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด โดยสามารถทำนัดหมายตรวจต้อหินได้ตามเวลาที่สะดวก ต้องการ
แพทย์ที่ชำนาญการรักษาต้อหิน
พญ. เกศรินท์ เกียรติเสวี จักษุแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางโรคต้อหิน โรงพยาบาลกรุงเทพ
สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง
แพ็กเกจผ่าตัดต้อหิน
แพ็กเกจผ่าตัดต้อหินราคาเริ่มต้นที่ 57,000 บาท
ดูแพ็กเกจผ่าตัดต้อกระจกเพิ่ม คลิก