ปวดหัวไมเกรนหรือเรียกสั้น ๆ ว่าไมเกรนเป็นหนึ่งในโรคที่พบบ่อยของคนวัยทำงาน คุณรู้ไหมว่าหากเป็นไมเกรนที่มีออร่าร่วมด้วย
ภาวะเข่าโก่ง เข่ากาง ขากางสามารถเกิดขึ้นได้ในวัยเด็ก บางคนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ลักษณะของเข่าสามารถกลับมาตรงตามธรรมชาติได้เอง
นิ้วล็อกสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยมักเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การใช้งานซ้ำ ๆ บ่อย ๆ อายุ ฯลฯ พฤติกรรมการใช้มืออย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน จนทำให้ปวดโคนนิ้วมือขณะที่ขยับ งอ เหยียดนิ้วจนเป็นนิ้วล็อก มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะคนทำงานที่ใช้มือตลอดทั้งวันจนแทบไม่ได้หยุดพัก
ไมเกรนเป็นโรคปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่มีความซับซ้อนและมีหลายปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการได้ แม้ว่าปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่จากการศึกษาและงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ไมเกรนเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่ผิดปกติในหลายส่วน
ไมเกรนเป็นโรคปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่มีความรุนแรงสูง ซึ่งอาการปวดไมเกรนไม่เพียงแต่ทำให้เกิดผลกระทบทางร่างกาย แต่ยังส่งผลกระทบในหลายด้านของชีวิต เช่น การเรียน การทำงาน การเข้าสังคม ครอบครัว เป็นต้น
ปัจจุบัน AI เข้ามามีบทบาทด้านการแพทย์และสาธารณสุขมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านรังสีวินิจฉัย AI Mammography เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมจากภาพเอกซเรย์เต้านมหรือแมมโมแกรมให้สามารถวิเคราะห์ผลเชิงลึกได้ชัดเจนในเวลาอันรวดเร็ว
สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในปัจจุบันยังคงมีแนวโน้มการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กอายุ 6 เดือน - 1 ปี เป็นกลุ่มอายุที่มีอัตราการติดเชื้อสูงที่สุดเมื่อเทียบกับเด็กโตและผู้ใหญ่ ดังนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็กจึงมีความสำคัญในการป้องกันโรคให้เด็กทุกช่วงวัย
หลายคนรู้จักโรคเบาหวาน แต่สำหรับภาวะก่อนเบาหวานที่ยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคเบาหวานอาจเป็นเรื่องที่ถูกละเลย ซึ่งการรู้เท่าทันและดูแลป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงลดความเสี่ยงการเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานเรื้อรัง ยังช่วยให้ใส่ใจควบคุมระดับน้ำตาลให้ห่างไกลจากโรคต่าง ๆ ที่ทำร้ายสุขภาพ
อัลไซเมอร์เป็นภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยในคนไทย ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก เพราะผู้ป่วยจะหลงลืมในสิ่งที่เคยทำ ลืมเหตุการณ์ต่าง ๆ ลืมคนใกล้ชิด ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติ ต้องมีคนคอยดูแล การรู้ทันความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ด้วยการตรวจยีนจึงเป็นอีกทางเลือกในการตรวจเช็กสมองเพื่อดูแลให้ห่างไกลความเสื่อ
ท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อนเป็นอวัยวะสำคัญที่เมื่อเกิดความผิดปกติย่อมส่งผลกระทบกับร่างกาย ทำให้เกิดอาการผิดปกติและอาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ การส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP) จึงมีความสำคัญ เพราะช่วยค้นหาความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ภายในนำไปสู่การดูแลรักษาอย่างถูกต้อง<br /><br /> <br /><br /> การส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP) คืออะไร<br /><br /> การส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP : Endoscopic Retrograde Cholangiopancreatography) เป็นขั้นตอนพิเศษที่ใช้ในการวินิจฉัยและรักษาปัญหาเกี่ยวกับตับ, ถุงน้ำดี, ท่อน้ำดี และตับอ่อน โดยใช้การส่องกล้องและการเอกซเรย์ร่วมกันเพื่อตรวจดูพื้นที่เหล่านี้และทำการรักษา เช่น การเอานิ่วออกหรือการใส่ท่อ<br /><br /> ใครที่ต้องส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP)<br /><br /> ผู้ป่วยต้องการตรวจ ERCP ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ดังนี้<br /><br /> ● นิ่วในท่อน้ำดี: การวินิจฉัยและเอานิ่วในท่อน้ำดีออก<br /><br /> ● การตีบของท่อน้ำดี: การประเมินและรักษาการตีบแคบในท่อน้ำดี ซึ่งอาจเป็นการตีบแบบธรรมดาหรือมะเร็ง<br /><br /> ● สภาวะของท่อตับอ่อน: การตรวจสอบและรักษานิ่วหรือการตีบในท่อตับอ่อน<br /><br /> ● สงสัยมะเร็งท่อน้ำดีหรือตับอ่อน: การตัดชิ้นเนื้อเพื่อวินิจฉัยมะเร็งในบริเวณเหล่านี้<br /><br /> ● ดีซ่านที่ไม่ทราบสาเหตุ: การตรวจหาสาเหตุของดีซ่านเมื่อภาพการตรวจอื่นไม่ชัดเจน<br /><br /> ● การติดเชื้อท่อน้ำดี: การจัดการการติดเชื้อในท่อน้ำดี<br /><br /> <br /><br /> ข้อดีของการส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP)<br /><br /> ● วินิจฉัยถูกต้อง: ให้ภาพและข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับท่อน้ำดีและท่อตับอ่อน<br /><br /> ● ความสามารถในการรักษา: สามารถรักษาได้ทันที เช่น การเอานิ่วออก การใส่ท่อ และการขยายการตีบ<br /><br /> ● การรุกล้ำน้อย: เมื่อเทียบกับการผ่าตัด ERCP มีการรุกล้ำน้อยกว่าและฟื้นตัวได้เร็วกว่า<br /><br /> ● ความสามารถในการตัดชิ้นเนื้อ: สามารถตัดชิ้นเนื้อจากท่อน้ำดีและท่อตับอ่อนไปตรวจทางพยาธิวิทยา<br /><br /> <br /><br /> <br /><br /> <br /><br /> เตรียมตัวก่อนส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP) อย่างไร<br /><br /> ● การอดอาหาร: ผู้ป่วยต้องงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6 - 8 ชั่วโมงก่อนการตรวจเพื่อให้ท้องว่าง<br /><br /> ● การทบทวนยา: ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาทั้งหมดที่กำลังรับประทานอยู่ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยารักษาโรคเบาหวาน และอาหารเสริมบางชนิดอาจต้องปรับหรือหยุดชั่วคราว<br /><br /> ● ข้อมูลเกี่ยวกับการแพ้: แจ้งแพทย์เกี่ยวกับอาการแพ้ใด ๆ โดยเฉพาะยาและยาชา<br /><br /> ● การประเมินสุขภาพ: การประเมินก่อนการตรวจจะถูกดำเนินการเพื่อทบทวนประวัติทางการแพทย์และปฏิกิริยาที่เคยเกิดขึ้นกับยาระงับความรู้สึกหรือยาชา<br /><br /> ● การให้ความยินยอม: ผู้ป่วยต้องให้ความยินยอมในการยอมรับขั้นตอ เพื่อประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น<br /><br /> <br /><br /> ระหว่างการส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP) เป็นอย่างไร<br /><br /> ● การให้ยาระงับความรู้สึก: ผู้ป่วยจะได้รับยาระงับความรู้สึกเพื่อให้รู้สึกสบายและผ่อนคลาย อาจเป็นการให้ยาระงับความรู้สึกที่ยังมีสติหรือการให้ยาชาทั่วไป<br /><br /> ● การวางตำแหน่ง: จะถูกวางตำแหน่งให้นอนตะแคงซ้ายหรือนอนคว่ำ<br /><br /> ● การใส่กล้องส่อง: แพทย์จะใส่กล้องส่องผ่านทางปากและค่อย ๆ ดันผ่านหลอดอาหาร, กระเพาะอาหาร และเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น<br /><br /> ● การใส่สายสวน: ใช้สายสวนขนาดเล็กเพื่อฉีดสารทึบแสงเข้าไปในท่อน้ำดีและท่อตับอ่อน<br /><br /> ● การถ่ายภาพด้วยฟลูออโรสโคปี: ใช้ภาพเอกซเรย์เพื่อดูท่อและตรวจหาความผิดปกติ<br /><br /> ● การรักษา: หากจำเป็นจะมีการทำหัตถการ เช่น การเอานิ่วออก, การใส่ท่อ หรือการตัดชิ้นเนื้อ<br /><br /> <br /><br /> ดูแลหลังส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP) อย่างไร<br /><br /> ● เวลาฟื้นตัว: ผู้ป่วยจะถูกติดตามในบริเวณฟื้นฟูจนกว่ายาระงับความรู้สึกจะหมดฤทธิ์ ซึ่งปกติใช้เวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง<br /><br /> ● อาหาร: อาจเริ่มด้วยของเหลวใสและค่อย ๆ กลับไปทานอาหารปกติได้ตามที่ทนได้<br /><br /> ● กิจกรรม: หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก ๆ ในวันนั้น<br /><br /> ● การติดตาม: ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำเฉพาะเกี่ยวกับเวลาที่จะกลับมาใช้ยาปกติและการนัดติดตามผล<br /><br /> ● สัญญาณเตือน: ติดต่อแพทย์หากคุณมีอาการปวดท้องรุนแรง, มีไข้, อาเจียน หรือสัญญาณการติดเชื้อ เช่น รอยแดงหรือบวมที่จุดตัดชิ้นเนื้อ<br /><br /> <br /><br /> ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนของการส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP)<br /><br /> ● ตับอ่อนอักเสบ: เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งมีความรุนแรงตั้งแต่เล็กน้อยถึงรุนแรง<br /><br /> ● การติดเชื้อ: มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในท่อน้ำดีหรือตับอ่อน<br /><br /> ● การเลือดออก: โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการตัดกล้ามเนื้อระหว่างท่อน้ำดีและท่อตับอ่อน<br /><br /> ● การทะลุ: นาน ๆ ครั้งที่กล้องส่องหรือเครื่องมืออาจทำให้เกิดรูในลำไส้เล็ก ท่อน้ำดี หรือตับอ่อน<br /><br /> ● ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการให้ยาระงับความรู้สึก: รวมถึงปัญหาทางเดินหายใจหรือปฏิกิริยาแพ้ต่อยาระงับความรู้สึก<br /><br /> <br /><br /> <br /><br /> การตรวจ ERCP (Endoscopic Retrograde Cholangiopancreatography) เป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีการรุกล้ำน้อยใช้ในการวินิจฉัยและรักษาโรคของตับ, ท่อน้ำดี, ถุงน้ำดี และตับอ่อน โดยให้ประโยชน์ด้านการวินิจฉัยและการรักษาที่สำคัญ แต่ก็มีความเสี่ยงบางประการ การเตรียมตัวอย่างถูกต้องและความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอน ประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผลลัพธ์การรักษา<br /><br /> <br /><br /> <br /><br /> แพทย์ที่ชำนาญการส่องกล้องท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP)<br /><br /> นพ.อรุณ ศิริปุณย์ อายุรแพทย์ด้านการส่องกล้องเพื่อการรักษา ศูนย์โรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพ <br /><br /> สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง<br /><br /> <br /><br /> <br /><br /> โรงพยาบาลที่ชำนาญด้านการส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP)<br /><br /> ศูนย์โรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมให้การตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาความผิดปกติของตับอ่อนและท่อทางเดินน้ำดี ด้วยการส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP) โดยแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญพยาบาล และทีมสหสาขา พร้อมด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกวัน
เมื่อเกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารไม่ว่าจะเป็นอวัยวะใดย่อมส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แม้อาการอาจไม่รุนแรง แต่รบกวนการใช้ชีวิตได้มากกว่าที่คิด การตรวจส่องกล้องอัลตราซาวนด์เพื่อเช็กความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร (Endoscopic Ultrasound – EUS) จึงไม่เพียงช่วยวินิจฉัยโรค แต่ลดความรุนแรงของโรคก่อนสายเกินไป
แม้ว่าการเทคฮอร์โมนจะเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ แต่ข้อสงสัยของคนที่เทคฮอร์โมนก็ยังคงมีเสมอ เพราะกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้นการมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ