แสงแดดทำร้ายดวงตามากกว่าที่คิด

4 นาทีในการอ่าน
แสงแดดทำร้ายดวงตามากกว่าที่คิด

โดยปกติเราสามารถปกป้องผิวหนังจากแสงแดดด้วยการใช้ครีมกันแดด แต่ทราบหรือไม่ว่า แม้ดวงตาจะคิดเป็นเพียง 2% ของพื้นที่ผิวทั่วร่างกาย แสงแดดก็ก่อให้เกิดอันตรายต่อส่วนต่าง ๆ ของดวงตาได้มากมาย ดังนั้นดวงตาจึงถูกสร้างให้ถูกห่อหุ้มด้วยกระดูกเบ้าตา มีเปลือกตา ขนคิ้ว และขนตาเป็นเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่ง นอกจากนี้การหดแคบลงของรูม่านตา การหลับตาหรือการหรี่ตาก็เป็นอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยปกป้องดวงตาตามธรรมชาติเมื่อถูกกระตุนด้วยแสงที่สามารถมองเห็นด้วยตา แต่จะไม่ถูกกระตุ้นด้วยรังสียูวี ดังนั้นแม้ในวันที่ไม่มีแสงแดดจ้า ร่างกายก็ยังคงได้รับรังสียูวีในปริมาณมาก ทำให้ประสิทธิภาพของกลไกป้องกันดวงตาตามธรรมชาติมีข้อจำกัด

 

รังสีของแสงแดด

แสงแดดประกอบด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า รังสียูวี (UV Rays) ซึ่งเป็นคลื่นแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงที่มองเห็นด้วยตา แสงที่มองเห็นด้วยตามีความยาวคลื่น 400 – 700 นาโนเมตร รังสียูวีจึงมีความยาวคลื่นสั้นกว่า 400 นาโนเมตร มีพลังงานสูงและไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ

  1. รังสียูวี ซี (UV C rays, 100 – 280 nm) เป็นรังสียูวีที่มีพลังงานสูงที่สุดและสามารถก่อให้เกิดอันตรายกับผิวหนังและดวงตาได้มากที่สุด โอโซนในชั้นบรรยากาศสามารถกรองไว้ได้หมด แต่ปัจจุบันชั้นโอโซนในบรรยากาศกำลังถูกทำลายมากขึ้น จึงทำให้รังสีชนิดนี้อาจทะลุผ่านลงมาสู่พื้นผิวโลกมากขึ้นและอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
  2. รังสียูวี บี (UV B rays, 280 – 320 nm) เป็นรังสีที่มีพลังงานน้อยกว่ารังสียูวี ซี ถูกกรองโดยชั้นโอโซนได้บางส่วน รังสีบางส่วนที่ทะลุผ่านลงมายังโลกในปริมาณน้อยจะกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน  (Melanin) ทำให้สีผิวคล้ำขึ้น ส่วนรังสีในปริมาณมากจะทำให้ผิวหนังไหม้ เกิดจุดด่างดำ รอยเหี่ยวย่น และเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งผิวหนัง
  3. รังสียูวี เอ (UV A rays, 320 – 400 nm) เป็นรังสีที่มีพลังงานต่ำกว่า 2 ชนิดแรก แต่สามารถทะลุผ่านกระจกตาเข้าไปสู่เลนส์ตาและจอตาได้ การได้รับรังสีชนิดนี้เป็นปริมาณมากอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดต้อกระจกและบางการวิจัยพบว่าอาจมีผลต่อการเกิดจุดภาพชัดเสื่อมด้วยเช่นกัน

ดวงตากับอันตรายจากแสงแดด

แสงแดดมีอันตรายต่อดวงตาในบริเวณต่าง ๆ ดังนี้

  • เปลือกตา สีผิวเปลี่ยน มีจุดด่างดำ ริ้วรอยรอบดวงตา นอกจากนี้ยังมีรายงานพบว่า มะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณเปลือกตาบางชนิด เช่น  Basal Cell Carcinoma Squamous Cell Carcinoma ตลอดจน Malignant Carcinoma อาจเกี่ยวเนื่องมาจากการได้รับแสงแดดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
  • เยื่อบุตา มีการเสื่อมของเยื่อบุตาบริเวณที่ชิดกับขอบตาดำ เรียกว่า ต้อลม ซึ่งเกิดจากการระคายเคืองจากลม ฝุ่น รังสียูวี หากต้อลมลุกลามเข้าไปในตาดำ เรียกว่า ต้อเนื้อ ไม่เพียงทำให้เกิดความไม่สวยงาม แต่อาจรบกวนการมองเห็น หรือหากมีการอักเสบ จะทำให้มีอาการปวดและระคายเคืองได้
  • กระจกตา การอักเสบเฉียบพลันของกระจกตา ทำให้มีอาการปวดตามาก น้ำตาไหล มักจะเกิดอาการประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง หลังจากได้รับรังสียูวีปริมาณมาก เช่น แสงสะท้อนจากหิมะหรือรังสียูวีจากการเชื่อมโลหะโดยไม่ส่วมใส่แว่นป้องกัน อาการมักจะเป็นอยู่ชั่วคราวประมาณ 1 – 2 วัน
  • เลนส์ตา การเกิดต้อกระจก แม้ว่าต้อกระจกจะเกิดจากการเสื่อมตามวัย แต่พบว่าการได้รับรังสียูวี ทำให้เป็นต้อกระจกมากขึ้นได้ ในแต่ละปีมีประชากรกว่า 16  ล้านคนทั่วโลกตาบอดจากต้อกระจก จากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่า ประมาณ 20% ของต้อกระจกอาจมีสาเหตุมาจากการได้รับรังสียูวีมากเกินไปซึ่งเป็นสาเหตุที่หลีกเลี่ยงได้
  • จอตา ในคนหนุ่มสาวเลนส์ตาที่ยังใสอยู่ไม่สามารถดูดซับรังสียูวีไว้ได้หมด จึงมีโอกาสที่รังสียูวีจะเข้าไปทำลายจอตาทำให้เกิดจอตาเสื่อมได้ แม้ว่าในจอตาของเราจะมีสารหรือเม็ดสีตามธรรมชาติที่ช่วยปกป้องจอตา แต่สารเหล่านี้จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้กระบวนการป้องกันจอตาตามธรรมชาติลดลงและเกิดการเสื่อมของจอตาได้ง่ายขึ้น เมื่อได้รับรังสียูวี นอกจากนี้บางการศึกษาเชื่อว่ารังสียูวีน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะจุดรับภาพเสื่อมในผู้สูงอายุ (Age – Related Macular Degeneration, AMD)

อย่าละเลยแสงสีฟ้า

แสงสีฟ้า (Blue Light or High – Energy Visible Radiation) เป็นแสงที่มองเห็นด้วยตา มีช่วงความยาวคลื่นระหว่าง 381 -500 นาโนเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงคลื่นรังสียูวี แสงสีฟ้าปริมาณสูงสามารถทำลายเซลล์อย่างถาวรในบางคน และหากได้รับแสงสีฟ้าเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดจุดภาพชัดเสื่อม ซึ่งเป็นจุดสำคัญในจอตา โดยเซลล์จะถูกทำลายอย่างช้า ๆ และทำให้สูญเสียการมองเห็นส่วนกลางอย่างถาวรในที่สุด การศึกษา European Study ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Ophthalmology ฉบับเดือนตุลาคม 2008 พบว่า กลุ่มคนที่มีระดับวิตามินซีและสาร Antioxidant อื่น ๆ ในเลือดต่ำ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดจอตาหรือจุดภาพชัดเสื่อมจากแสงสีฟ้า

ในชีวิตประจำวันเราได้รับแสงสีฟ้าอยู่ตลอดเวลา ทั้งจากคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และหน้าจอโทรศัพท์มือถือ หรือจากอุปกรณ์บางอย่าง เช่น เลเซอร์และอุปกรณ์ทางการแพทย์บางชนิด อย่างไรก็ตามสามารถป้องกันแสงสีฟ้า โดยการใช้เลนส์ “Blue Blocker” ซึ่งมักจะเป็นเลนส์สีเหลืองหรือสีส้ม ซึ่งโดยทั่วไปเลนส์ชนิดนี้ไม่ได้ลดปริมาณแสงสีฟ้าที่จะผ่านเข้าสู่ดวงตา แต่จะช่วยเปลี่ยนแปลงการปรากฏของแสงสีฟ้าและสีเขียว เนื่องจากแสงสีฟ้าอยู่ในช่วงคลื่นที่ใกล้เคียงกับรังสียูวีมาก การใช้เลนส์ Blue Blocker จะช่วยป้องกันรังสียูวีได้ด้วย

แสงแดดทำร้ายดวงตามากกว่าที่คิด

เลือกแว่นกันแดดให้ถูกวิธี

  • เลือกแว่นกันแดดที่ป้องกันทั้งรังสียูวีเอและบีได้ 99 – 100% โดยต้องมีป้ายระบุชัดเจน จำไว้เสมอว่าประสิทธิภาพการป้องกันรังสียูวีไม่ได้ขึ้นอยู่กับสีหรือระดับความเข้มของเลนส์
  • เลนส์ควรมีขนาดใหญ่และกว้างสามารถปิดบังดวงตาจากแสงแดดได้ทุกองศา
  • แว่นกันแดดนอกจากจะป้องกันรังสียูวีแล้ว แว่นกันแดดที่ดีควรมีคุณสมบัติอื่น ๆ ร่วมด้วย ได้แก่
    • Blue – Blocking Lenses ช่วยให้เห็นวัตถุไกล ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในหิมะหรืออากาศขุ่นมัว เลนส์ที่สามารถป้องกันแสงสีฟ้าได้ทั้งหมด คือ สีเหลืองอำพัน อย่างไรก็ตามแนะนำให้ใช้เลนส์สีเทาในการขับรถเพื่อให้เห็นแสงสีสัญญาณไฟจราจรได้อย่างถูกต้อง
    • Polarized Lenses ช่วยตัดแสง ลดการเกิดแสงแตกกระจาย เช่น แสงแดดสะท้อนจากหิมะหรือผิวน้ำ
    • Photochromic Lenses สามารถปรับความเข้มของสีเลนส์ได้ตามปริมาณแสงที่เปลี่ยนแปลง
    • Polycarbonate Lenses ช่วยป้องกันการกระแทกหรืออุบัติเหตุที่ดวงตา
    • Mirror – Coated Lenses ช่วยลดแสงที่มองเห็นด้วยตา
    • Gradient Lenses มี 2 ชนิด คือ Single – Gradient Lenses ซึ่งมีสีเข้มด้านบน สีอ่อนด้านล่าง ช่วยลดแสงแตกกระจายและเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการขับรถ อีกชนิดหนึ่ง คือ Double – Gradient Lenses ซึ่งจะมีสีเข้มด้านบนและล่าง สีอ่อนตรงกลาง เหมาะสำหรับกีฬาทางน้ำหรือกีฬาฤดูหนาว

ข้อมูลโดย

Loading

กำลังโหลดข้อมูล

สอบถามเพิ่มเติมที่

ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลกรุงเทพ

ชั้น 5 อาคาร D โรงพยาบาลกรุงเทพ

เปิดให้บริการ

จันทร์-ศุกร์ 08.00 - 19.00 น.

เสาร์ 08.00 - 17.00 น

อาทิตย์ 08.00 - 16.00 น.

แพทย์ที่เกี่ยวข้อง

ดูแพทย์ทั้งหมด