ผู้หญิงห่างไกลเบาหวานแค่รู้เท่าทัน

4 นาทีในการอ่าน
ผู้หญิงห่างไกลเบาหวานแค่รู้เท่าทัน

จากข้อมูลของสหพันธ์โรคเบาหวานนานาชาติระบุว่า ปัจจุบันมีผู้หญิงมากกว่า 199 ล้านคนเป็นเบาหวานและจะเพิ่มเป็น 313 ล้านคนในปี พ.ศ. 2583 อีกทั้งเบาหวานยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 9 ของผู้หญิงทั่วโลกอีกด้วย ดังนั้นเนื่องในวันเบาหวานโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี จึงอยากให้ทุกคนตระหนักถึงความรุนแรงและรู้เท่าทันโรคเบาหวานก่อนจะสายเกินไป

ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปบวกกับเมนูรสหวานที่มีให้เลือกทานได้ง่ายดาย ทั้งบิงซู ไอศกรีม เครื่องดื่มรสหวาน ขนมเค้ก และอีกมากมาย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณเกินความต้องการในแต่ละวัน นำไปสู่ความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน โดยเฉพาะในคุณผู้หญิง

 

โรคเบาหวานคืออะไร

โรคเบาหวานเกิดจากเซลล์ร่างกายมีความผิดปกติในกระบวนการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้กลายเป็นพลังงาน ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างโดยตับอ่อนและมีหน้าที่ในการส่งต่อน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายได้เพียงพอร่วมกับภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ ส่งผลให้เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งพบได้ทุกเพศทุกวัย และหากไม่รีบเข้ารับการรักษาหรือไม่รู้ตัวว่าเป็นจึงปล่อยปละละเลยอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้


พญ.รัตนพรรณ สมิทธารักษ์
 อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า 

หากระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารมากกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมมากกว่า 6.4% ขึ้นไปจะถือว่าผู้นั้นเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งถือเป็นโรคที่น่ารำคาญโรคหนึ่ง เพราะเมื่อเป็นแล้วจะส่งผลในระยะยาว รวมทั้งนำมาซึ่งความรุนแรงถึงชีวิตได้หากไม่ควบคุมและทำการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นตาบอด ไตวายเรื้อรัง สูญเสียขา หลอดเลือดหัวใจอุดตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น ดังนั้นยิ่งรู้เร็ว ยิ่งรักษาเร็ว ยิ่งควบคุมได้เร็ว จะช่วยชะลอผลแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้”


อาการโรคเบาหวานเป็นอย่างไร

อาการของโรคเบาหวานที่สามารถสังเกตได้และควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว คือ

  • ปัสสาวะบ่อย
  • น้ำหนักลดแบบไม่ทราบสาเหตุ
  • กระหายน้ำบ่อย กินจุมากกว่าปกติ
  • ชาปลายมือปลายเท้า อ่อนเพลีย
  • คลื่นไส้ เวียนหัว หงุดหงิด
  • ตามัว ขาดสมาธิ

ประเภทและการรักษาเบาหวานเป็นอย่างไร

ประเภทและการรักษาเบาหวานมีทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่

  1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) เกิดจากตับอ่อนไม่ผลิตอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง มักพบในเด็กหรือผู้ที่อายุน้อยกว่า 30 ปี รักษาโดยการฉีดอินซูลิน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานและการออกกำลังกาย

  2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) พบมากในคนไทย เกิดจากตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ไม่มากนัก ส่งผลให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งอายุที่เพิ่มมากขึ้นมีส่วนทำให้การทำงานของตับอ่อนลดประสิทธิภาพลง หากเป็นแล้วรักษาได้โดยการทานยาและฉีดยา พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานและการออกกำลังกาย

    นอกจากนี้ในปัจจุบันคนไทยเป็นโรคอ้วนกันมาก “ส่วนใหญ่คนอ้วนมักเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากภาวะดื้ออินซูลิน เพราะเวลาที่ไขมันมีปริมาณมากส่งผลให้อินซูลินทำหน้าที่ได้ไม่ดีนักในการส่งน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ซึ่งการควบคุมน้ำหนักให้เป็นไปตามเกณฑ์จะช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานได้”

  3. โรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปจากการตั้งครรภ์ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน มีแนวโน้มที่จะมีระดับน้ำตาลสูงขึ้น ดังนั้นคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป หรือคุณแม่ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน เช่น มีญาติสายตรงเป็นเบาหวาน น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์สูง ครรภ์แฝด หรือผู้มีบุตรยาก เป็นต้น จำเป็นที่จะต้องตรวจอย่างละเอียด โดยเฉพาะในช่วงเดือนที่ 2 และ 3 หากคุณแม่เป็นเบาหวานจะส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์ การรักษานั้นจะเน้นการใช้ยาที่มีผลข้างเคียงกับคุณแม่และทารกน้อยที่สุดและดูแลเรื่องการทานอาหารอย่างใกล้ชิด

  4. โรคเบาหวานชนิดอื่นที่มีสาเหตุเฉพาะ ได้แก่ ความผิดปกติทางพันธุกรรม ความผิดปกติของฮอร์โมน การได้รับยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์หรือสารเคมี เป็นต้น การรักษาจะพิจารณาจากอาการของแต่ละบุคคล

ป้องกันเบาหวานได้อย่างไร

การป้องกันโรคเบาหวานสำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นโรคเบาหวาน ได้แก่

  • เลี่ยงของหวาน น้ำอัดลม น้ำรสหวานทุกชนิด
  • กินให้ถูกสัดส่วน เลือกทานอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
  • ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
  • อาหารควรเน้นทานรสจืด โดยเฉพาะมื้อต่าง ๆ ในครอบครัว
  • รักษาน้ำหนักให้คงที่เป็นไปตามเกณฑ์ที่เหมาะสม

หากเป็นเบาหวานแล้วควบคุมโรคได้อย่างไร

สำหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน สิ่งที่ควรทำคือ

  • เมื่อรู้ว่าตนเองเป็นเบาหวานให้ยอมรับตัวเองและเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ
  • ให้ความร่วมมือในการรักษา ทานยา และปฏิบัติตัวตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • เลี่ยงน้ำหวาน ผลไม้หวาน ลดไขมันและอาหารเค็ม ทานผักให้มาก
  • ดูแลระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด คุมความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือด


พญ.รัตนพรรณ สมิทธารักษ์ อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม โรงพยาบาลกรุงเทพ ฝากถึงการใส่ใจให้ห่างไกลจากโรคนี้

เบาหวานเป็นเรื่องใกล้ตัว คนที่ไม่มีกรรมพันธุ์ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นต้องดูแลตนเอง ไม่ติดกับรสหวาน เพราะประโยชน์ที่ได้รับน้อยมาก ถ้าเลี่ยงได้จะดีต่อสุขภาพ ยิ่งผู้หญิงยุคใหม่สามารถเลือกได้ว่าจะไปกินของหวาน หรือไปออกกำลังกาย เพราะหากระวังตั้งแต่วันนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานในระยะยาวได้”


แพทย์ที่ชำนาญการรักษาเบาหวาน

พญ.รัตนพรรณ สมิทธารักษ์ อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม โรงพยาบาลกรุงเทพ

สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง


โรงพยาบาลที่ชำนาญด้านการรักษาเบาหวาน

โรงพยาบาลกรุงเทพพร้อมดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวาน ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มากด้วยประสบการณ์ และทีมสหสาขาที่พร้อมให้การดูแลอย่างใกล้ชิด

ข้อมูลโดย

Doctor Image
พญ. รัตนพรรณ สมิทธารักษ์

อายุรศาสตร์

อายุรศาสตร์โรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม
พญ. รัตนพรรณ สมิทธารักษ์

อายุรศาสตร์

อายุรศาสตร์โรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม
Doctor profileDoctor profile
Loading

กำลังโหลดข้อมูล

สอบถามเพิ่มเติมที่

ศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ

ชั้น 2 อาคาร โรงพยาบาลกรุงเทพ

จันทร์ – ศุกร์ 7.00 - 16.00 น.

เสาร์ – อาทิตย์ และนักขัตฤกษ์ 7.00 – 16.00 น.

แพทย์ที่เกี่ยวข้อง

ดูแพทย์ทั้งหมด