รู้จักโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
โรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่และกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกัน ได้แก่ ปัสสาวะบ่อยมาก ทั้งกลางวัน กลางคืน ปวดกลั้นมากขณะที่จะไปห้องน้ำจนบ่อยครั้ง หรือบางครั้งกลั้นไม่อยู่ราดออกไปก่อน สตรีหลังคลอดบุตรตามธรรมชาติผ่านช่องคลอด 2 – 3 คนแล้ว อาจจะพบว่ามีอาการปัสสาวะเล็ดออกมาบ้างทั้งน้อยหรือมากเมื่อเวลาเป็นหวัด มีไอและจาม พบว่าปัสสาวะเล็ด เรียกว่า ปัสสาวะเล็ดเมื่อมีการออกแรงเบ่งช่องท้อง (Stress Urinary Incontinence, SUI) รวมทั้งอาจเกิดขึ้นได้เมื่อก้มลงยกของหนักจากพื้นหรือกระโดดออกเอกเซอร์ไซส์ หรือแม้แต่ก้าวขึ้นบันไดหลาย ๆ ขั้นก็ตาม
สาเหตุโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
สาเหตุหลักที่สำคัญและเกี่ยวข้องโดยตรงในสตรีเพศเป็นเพราะว่า กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนลง บางทีเรียกกันว่า กระบังลม (เชิงกราน) หย่อน ลองนึกถึงภาพ เปลญวณที่ผูกขึงไว้หย่อนเมื่อมีแรงของน้ำหนักตัวที่ลงไปนั่งนอนยิ่งหย่อนลงไปคล้าย ๆ กับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่หย่อนอาจจะดึงท่อปัสสาวะและช่องคลอดหย่อนลงมาด้วยเป็นมุมที่ทำให้ปัสสาวะเล็ดราดออกมาได้ง่ายนั่นเอง
ในความเป็นจริงโรคหรือกลุ่มอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่นั้นมีมานานแล้วในอดีต โดยเฉพาะในเพศหญิง แม่บ้านที่คลอดบุตร 2 ถึง 3 หรือหลายคน ดังปรากฏว่าภาษาชาวบ้านในอดีตเรียกกันว่า โรคช้ำรั่ว คล้ายจะบอกเล่าว่าเป็นอาการที่เกิดความรู้สึกที่น่ารำคาญใจในการดำเนินชีวิตตามปกติทีเดียว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วยังเป็นเรื่องของความเคยชินในสังคมที่เรามักจะไม่อยากพูดหรือเปิดเผยอาการปัสสาวะที่มีปัญหาเหล่านี้กับผู้อื่น รวมทั้งประชาชนผู้ซึ่งเจ็บป่วยด้วยโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่นี้ก็ไม่อยากจะไปปรึกษาแพทย์ด้วยเช่นกัน เพราะอาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายหรือเป็นข้อห้ามไม่ควรจะบอกเล่าต่อกัน (Taboo) จวบจนอาการมาก ๆ ทั้งนี้จึงไปปรึกษาแพทย์ แนวโน้มเช่นนี้พบได้คล้ายคลึงกับในหลาย ๆ ประเทศทั้งในยุโรปและอเมริกา ประมาณกันว่ามีจำนวนประชากรทั่วโลกไม่น้อยกว่า 200 ล้านคน กำลังมีปัญหาเรื่องโรคอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ (Urinary Incontinence) ซึ่งเป็นปัญหาทางการแพทย์และภาวะแทรกซ้อนที่ตามมาโดยเฉพาะการอักเสบทางเดินปัสสาวะและระคายเคือง
ประเภทโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
โรค/กลุ่มอาการปัสสาวะกลั้นไม่อยู่ (Urinary Incontinence) ในมุมมองของการแพทย์ในปัจจุบันมีการจัดจำแนกอาการเหล่านี้เป็นรายละเอียดให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นไป เพื่อการซักถามปรึกษาอาการและแนวทางการตรวจวิฉิจฉัย และการวางแผนการปรึกษาและแนะนำผู้ป่วยต่อไป
โรค/กลุ่มอาการปัสสาวะกลั้นไม่อยู่ แบ่งออกได้ดังต่อไปนี้
- ปัสสาวะกลั้นไม่อยู่ที่เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital)
- ปัสสาวะรดที่นอน (Bed Wetting Enuresis)
- ปัสสาวะกลั้นไม่อยู่จากระบบประสาท (Neurogenic)
- ปัสสาวะเล็ดเมื่อออกแรงเบ่ง (Stress Urinary Incontinence)
- ปัสสาวะราดกลั้นไม่ได้ (Urge Incontinence)
- ปัสสาวะเล็ดและราดร่วมกัน (Mixed Incontinence) หมายถึงอาการข้อ 4 และข้อ 5 เป็นร่วมกัน
- ปัสสาวะล้นซึม (Over Flow Incontinence)
- ปัสสาวะบ่อยมากในช่วงกลางวัน (Urinary Freguency Daytime)
- ปัสสาวะบ่อยในช่วงเวลากลางคืน (Nocturia Night Time)
- ปัสสาวะปวดกลั้น (Urgency)
- กระเพาะ, ปัสสาวะไวเกิน (Over Active Bladder) หมายถึงกลุ่มอาการในข้อ 5, 8, 9 และ10 รวม ๆ กัน)
ความชุกของโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
จากสถิติตัวเลขที่มีรายงานในสหรัฐอเมริกาพบว่า มีชาวอเมริกาเป็นโรคปัสสาวะกลั้นไม่อยู่ถึง 25 ล้านคนและกลุ่มอาการกระเพาะปัสสาวะไวเกิน 33 ล้านคน สำหรับประเทศไทยนี้เคยมีการศึกษาร่วมกัน 4 โรงพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬา และโรงพยาบาลกรุงเทพ รวมข้อมูล 905 คน ความชุกของโรค/อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งพบว่าเมื่อปี ค.ศ. 1998 ศึกษาในเพศหญิงแบ่งตามอายุเป็น 3 กลุ่ม พบความผิดปกติและอาการต่าง ๆ ที่แสดงตามตารางดังต่อไปนี้
ข้อมูลความชุกของโรคและกลุ่มอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่สำหรับเพศหญิงในประเทศไทย (ตาราง)
กลุ่มอาการ | อายุ 18 – 39 ปี | อายุ 40 – 59 ปี | มากกว่าอายุ 60 ปี |
ปัสสาวะปวดกลั้น | 7% | 12.1% | 23.2% |
ปัสสาวะบ่อย | 5.6% | 11% | 10.5% |
ปัสสาวะบ่อยกลางคืน | 3.2% | 6.9% | 24.5% |
ปัสสาวะเล็ด | 1.2% | 7.5% | 15.8% |
ปัสสาวะราด | 0.4% | 1.7% | 3.6% |
กระเพาะปัสสาวะไวเกิน | 3.2% | 7.7% | 15.5% |
การตรวจวินิจฉัยและการรักษา
- เริ่มเน้นที่การซักถามประวัติและอาการปัจจุบันอย่างละเอียดเป็นสำคัญ จะสามารถแยกแยะอาการแสดงที่เป็นอยู่ และพอที่จะทราบชนิดของปัสสาวะกลั้นไม่อยู่
- ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต รวมทั้งโรคที่เป็นอยู่ถึงปัจจุบัน เช่น โรคความดัน เบาหวาน หัวใจ ระบบประสาท รวมทั้งการผ่าตัดรักษาและอุบัติเหตุที่ส่งผลถึงระบบทางเดินปัสสาวะ
- ประวัติการคลอดบุตร และในเพศชายเน้นอาการโรคต่อมลูกหมากโต รวมทั้งระบบทางเพศและฮอร์โมน ฯลฯ
- ประวัติการใช้ยารักษาในปัจจุบัน โดยเฉพาะยาขับปัสสาวะ ยานอนหลับ กล่อมประสาท เป็นต้น
- สภาพทางจิตใจและอารมณ์ ฯลฯ
- อาชีพความเป็นอยู่ทางสังคม ฯลฯ
- อาหารและน้ำดื่ม เครื่องดื่ม น้ำชา กาแฟ แอลกอฮอล์ บุหรี่ ฯลฯ
- การออกกำลังกาย พักผ่อน นอนหลับ
การตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์
- ตรวจปัสสาวะเพื่อตัดปัญหาการอักเสบ
- ตรวจสอบความแรงของสายปัสสาวะ (Uroflowmetry, Residual Urine)
- ตรวจระบบประสาททางเดินปัสสาวะ ถ้าจำเป็น (Urodynamic)
- ตรวจส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ ถ้าจำเป็น
- อื่น ๆ
รักษาโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
การรักษาโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่และกลุ่มอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ในที่นี้จะเน้นโรคปัสสาวะเล็ดเวลาออกแรงเบ่ง เช่น ไอหรือ จาม (Stress Urinary Incontinence) เป็นหลัก รวมทั้งปัสสาวะปวดกลั้นและราดออกไปก่อนจะเดินถึงห้องน้ำ (Urgency Incontinence) และหรือกลุ่มความรู้สึกกระเพาะปัสสาวะไวเกิน (Over Active Bladder)- การบริหารฝึกฝนกล้ามเนื้ออุ้งกราน Kegel Exercise
- การบริหารทานยา
ปกติไม่สามารถช่วยในกลุ่มอาการปัสสาวะเล็ดได้ เนื่องจากเป็นปัญหาของกลุ่มกล้ามเนื้อเชิงกราน ยาอาจจะช่วยได้ในอาการปัสสาวะกลั้นไม่อยู่ Urgency Incontinence เท่านั้น แต่อาจมีผลข้างเคียงทำให้ปัสสาวะขัดไปอีกด้วย - การผ่าตัดรักษาผ่านบริเวณช่องคลอด
ในกรณีที่ผู้ป่วยอาการเป็นมากและเป็นมานาน อาจจะไม่สามารถหายได้จากการฝึกฝนกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน อาจจะต้องได้รับการผ่าตัดรักษา ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็นสาย Sling ยกให้ท่อปัสสาวะส่วนต้นและกระเพาะปัสสาวะไม่หย่อนลงไปตามกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
บำบัดรักษาด้วย QRS – PelviCenter (Quantum Resonance Systems)
ที่ผ่านมาในอดีตเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว บ่อยครั้งซึ่งผู้ป่วยที่มีปัญหาเก็บและขับถ่ายปัสสาวะผิดปกติ เนื่องจากความบกพร่องของกลุ่มกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและกล้ามเนื้อหูรูด ท่อปัสสาวะ ท่อทวารหนัก ทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่เล็ดราดเมื่อไอจามหรือออกแรงเบ่งช่องท้อง
โดยเฉพาะในเพศหญิงปัสสาวะเล็ดราดสภาพการเสื่อมทางสรีระของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานนี้มักจะเกี่ยวกับการคลอดบุตร การตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคอ้วนน้ำหนักเกินมากอ่อนแรงลง ดังนั้นการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่เรารู้จักกันมานานเรียกว่า “Kegel Exercises” หรือ Pelvic Floor Muscle Exercise, PFME จึงเป็นวิธีการที่ทางการแพทย์ได้แนะนำและสอนให้ผู้ป่วยทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปกติต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 สัปดาห์ถึง 3 เดือน วันละ 2 – 3 รอบ ในการฝึกปฏิบัตินี้ ศูนย์โรคทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลกรุงเทพมีวิธีการฝึกสอนที่เป็นมาตรฐานเป็นรูปแบบที่ดีจากอดีตปี พ.ศ. 2539 มาจนถึงปัจจุบัน
QRS PelVi Center เทคโนโลยีใหม่ทางการแพทย์
ทางเลือกใหม่ของการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด เน้นฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
ปัจจุบันศูนย์โรคทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลกรุงเทพได้ติดตั้งเครื่องมือทางการแพทย์ใหม่ล่าสุดที่จะนำมาใช้ในการรักษากลุ่มอาการของโรคดังกล่าวข้างต้น ด้วยเครื่อง QRS-PelviCenter (Quantum Resonance Systems) เทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศเยอรมัน โดยใช้หลักการของคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากระตุ้นกลุ่มกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทั้งระบบและจะส่งคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นแรงสั่นสะท้านลักษณะรูปโคมแบบ 4 มิติเป็นคลื่นที่สัมผัสได้เบา ๆ ถึงแรงสั่นสะเทือน แต่ไม่รู้สึกเจ็บกล้ามเนื้อ (ต่างกับการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า) ได้ทั้งส่วนเนื้อที่ความกว้างและความสูงหรือลึกไปถึงโครงสร้างกล้ามเนื้อเชิงกรานทั้งหมดของช่องอุ้งเชิงกราน (กระบังลม) และกล้ามเนื้อส่วนหลังและหน้าท้องส่วนล่างเกือบทั้งหมด
ระบบของสนามแม่เหล็กถูกสร้างขึ้นเมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในขดลวดสนามแม่เหล็กซึ่งซ่อนอยู่ข้างใต้เบาะเก้าอี้นวมที่นั่งสบายสำหรับผู้ป่วย จึงเป็นวิธีการที่สะดวกสบายมาก ทั้งหมดนี้จะได้ผลลัพธ์ที่ทดแทนการฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน Kegel Exercises ไปโดยปริยายจึงเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยวัยสูงอายุ รวมทั้งเด็กและเยาวชนด้วย ปกติการบำบัดนี้ใช้เวลาครั้งละ 20 นาที ควรทำอาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง จนครบ 8 – 16 ครั้ง (เต็มทั้งคอร์สของการรักษา)
มีผลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์แล้วในปีนี้ 2017 พบว่า ผู้ป่วยหญิงที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ดราดได้รับผลการรักษาว่าดีมากในระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน และ12 เดือน แล้วได้รับการบำบัดรักษาเต็มคอร์ส 16 ครั้งแรก
นอกจากนี้แล้ว QRS – PelviCenter (Quantum Resonance Systems) ยังสามารถช่วยในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศและในอุ้งเชิงกรานในท่ากล้ามเนื้อหูรูดเพศชายหย่อนสภาพหลังได้รับการผ่าตัดรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก หรือขูดต่อมลูกหมากโต อวัยวะเพศหย่อนสมรรถภาพไม่แข็งตัว ED (Erectile Dysfunction) อาการปวดหน่วง ๆ ต่อมลูกหมาก รวมทั้งอาการปวดในอุ้งเชิงกรานเรื้อรังที่พบในเพศหญิง เป็นต้น
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของการรักษา
ข้อควรระวัง
- ผู้ป่วยที่มีการฝังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ, เครื่องปั๊มหัวใจ, เครื่องปั๊มอินซูลิน ไม่อนุญาตให้ใช้การบำบัดโดยเครื่อง PelviCenter
- ผู้ป่วยที่มีการฝังอุปกรณ์ในร่างกาย เช่น เกลียวฮอร์โมนในเพศหญิง เปลี่ยนข้อสะโพก สกรู และอื่น ๆ ไม่อนุญาตให้ใช้โปรแกรมบำบัด โดยเครื่อง PelviCenter
ผลข้างเคียง
- หลังจากการนั่ง PelviCenter 2 – 3 วัน บางคนอาจมีอาการปวดเมื่อยบริเวณก้น
- ในการบำบัดด้วยแสง อาจจะมีอาการข้างเคียง ซึ่งพบได้น้อยมาก เช่น คลื่นไส้ หงุดหงิด ระคายเคืองตา ซึ่งก็ไม่ได้ถือเป็นข้อห้ามในการบำบัด
การปฏิบัติตัวก่อน QRS
- ไม่มีการปวดปัสสาวะ
- การเปลี่ยนแผ่นรองเปียก
- นำเครื่องช่วยฟังที่หูออกก่อน
- นำเครื่องประดับออกที่อยู่ระหว่างเข่า คอ (โซ่, แหวน, การเจาะใส่)
- นำสิ่งเหล่านี้ออกก่อน ได้แก่ นาฬิกา, กุญแจรถยนต์, บัตรเครดิต, เครื่องเพจเจอร์, โทรศัพท์มือถือ, เหรียญต่าง ๆ
การปฏิบัติตัวหลัง QRS
- หลังจากการรักษาควรฝึกการบริหาร Kegel Exercises ด้วย เพื่อช่วยกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้เร็วขึ้น